วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จากจักรซิงเกอร์ตัวเดียว สู่แมร์เซเดสเบ๊นซ์ 5 คัน ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

ศึกษาความเป็นจริงที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้รับรู้และเข้าใจ ในกลไกการทำงานของความพอเพียง
3 ตุลาคม 2551

หนังสือพระราชทานเพลิงศพ ฉบับเผยแพร่วันที่ 5 สิงหาคม 2549 สรุปฉากชีวิตทรงคุณค่าของสตรีท่านหนึ่ง
ผู้อ่านทั้งหลายได้สัมผัสกับวิธีการพัฒนาเศรษฐกิจของครอบครัว อันเป็นหน่วยเล็กที่สุดของสังคม ด้วยกำลังกายกำลังความคิด การยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ความรักประเทศชาติเทิดทูนกษัตริย์ และ การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ของพสกนิกรคนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ชื่อคุณแม่สมใจ
จากไม่มีประกาศนียบัตรการศึกษาขั้นใด สตรีท่านนี้ได้จักรซิงเกอร์ 1 คันจากทางบ้านในวันแต่งงานเพื่อเป็นเครื่องมือในการเลี้ยงชีพ
ตั้งต้นจากตรงนั้น ท่านกับสามีทำมาหาเลี้ยงครอบครัว ได้เงินมา ไม่เคยนำไปกินใช้ให้ตนเองมีหน้ามีตามีความสะดวกสบาย แต่กระเหม็ดกระแหม่สะสมไว้ ส่งลูกให้ได้เรียนสูงๆเท่าที่จะทำได้ บนความลำบากอย่างสาหัสของตน อะไรที่จะทำให้ได้เงินงอกเงยอย่างสุจริต คุณแม่คิดออกเมื่อไรก็ไม่รีรอที่จะลงมือ แต่ไม่ว่าจะเริ่มกิจการใดๆขึ้นมาใหม่ ก็มีจักรซิงเกอร์ตัวนั้น เป็นส่วนสนับสนุนในการหารายได้ตลอดมา
ครอบครัวได้กินอาหารครบหมู่ แบบไม่ต้องเป็นของแพง ได้กินผักผลไม้ตามฤดูกาล เพราะยามนั้นมันถูกที่สุด
24 ชั่วโมงของวัน คุณแม่สมใจนอนดึกตื่นเช้ามืด ไม่เคยนั่งว่าง เพราะว่างเมื่อไรก็คือ ในอนาคตอีกไม่กี่วันก็อดเมื่อนั้น
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ เลือด (จากอะไรต่ออะไรบาดในการทำงาน) แต่ไม่ใช่น้ำตา: Blood, Sweat, but no Tears
ไม่มีใครในบ้านนี้เสียเวลาร้องไห้เพราะความอับจนหรือน้อยใจที่เกิดมาไม่เท่าเทียม เพราะเวลาในการคิดเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จนเกิดการฟุ้งซ่านไปสู่การร้องไห้ ... มันไม่มี
ลูกๆของคุณแม่ ได้เรียนรู้ตัวอย่างการขยันและซื่อสัตย์โดยทั่วหน้า ไม่มีใครนั่งว่างเป็นท่านสอนให้ลูกคนต่อๆไปเคารพและทำตามพี่ และสร้างพี่คนโตให้เป็นตัวอย่างที่ดี ลูกๆทุกคนเลยดีหมดโดยใช้เวลาสอนจริงๆแค่คนเดียว … ประสิทธิภาพจากคอมม่อนเซ้นส์ โดยไม่ต้องลงทุนไปเรียนที่ไหน (ขออภัยที่นำภาษาต่างประเทศมาปนเปื้อน เพราะกลุ่มผู้อ่านบางส่วนเป็นนักวิชาการที่ชอบใช้ภาษาสไตล์อาณานิคม)
ลูกคนแรกได้เข้าโรงเรียนดี จากความพยายามทุกรูปแบบเท่าที่ทำได้ในกรอบความซื่อสัตย์ พี่คนโตจบการศึกษาระดับมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในสังคม และเริ่มทำงาน หลังจากนั้นก็ยังศึกษาต่ออีกเรื่อยๆ
ลูกคนต่อๆมามีพลังผลักดันในจิตใต้สำนึก ต้องตามพี่ให้ได้ ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่ แต่ต้องไม่โกงใคร
ในที่สุด ทุกคนเรียนจบอย่างดี ด้วยการได้ทุนบวกกับการลงทุนจากการประหยัดอดออมของพ่อแม่และพี่
คุณแม่สมใจแต่งงานอายุ 28 เมื่อลูกคนโตอายุ 20 กว่า ก็เริ่มทำงานเลี้ยงครอบครัว ลูกเคยเห็นแม่ลำบากเหลือหลาย มันติดอยู่ในสายตาและเสียดแทงเข้าไปในจิตใจ ตั้งใจว่าถ้าทำงานได้ จะไม่ให้แม่ต้องลำบากอีกเลย
ตกลงตอนคุณแม่อายุ 50 กว่าๆ คุณแม่ก็ได้ปลดเกษียณแล้ว!
อีก 20 กว่าปีต่อมา ลูกๆคุณแม่ล้วนก่อร่างสร้างฐานะ เน้นสะสมรายได้และต่อยอดรายได้ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจลงทุนหาความมีหน้ามีตาความสะดวกสบาย
แต่ในช่วงเวลาเหล่านี้ ครอบครัวลูกๆคุณแม่ก็มีรถแมร์เซเดสเบ๊นซ์ใช้คนละ 1-2 คัน รวมแล้ว 5 คัน นอกจากนั้นยังมียี่ห้ออื่นๆอีก “เป็นผลพลอยได้” ของการทำงานเอาจริงเอาจัง ...
ความมีหน้ามีตามีความสะดวกสบายมันทยอยตามมาโดยไม่ได้สนใจเรียกร้องต้องการ
จึงเป็นหลักให้จดจำว่า หากเริ่มด้วยการยอมลำบาก รู้จักอดออม ใช้เงินตามที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ สร้างฐานะต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่สนใจและไม่ลงทุนไขว่คว้าความมีหน้ามีตาความสะดวกสบายให้สิ้นเปลือง ... ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ถึงจุดหนึ่ง ความมีหน้ามีตามีความสะดวกสบายมันจะวิ่งตามมาเอง ถึงตอนนั้นจะใช้เงินทำอะไร ก็แล้วแต่พิจารณา บนพื้นฐานของเหตุผลและความคุ้มค่า ...
เช่น แมร์เซเดสเป็นรถราคาสูง แต่ไม่ใช่ราคาแพง เพราะมีเหตุผลในความสูงของราคา
สำหรับคุณแม่สมใจ แม้จะก้าวสู่ฐานะที่ดี แต่ก็ยังดำรงตนอยู่ในความเรียบง่าย ประหยัด อดออม รวมทั้งทำอะไรให้เป็นประโยชน์เสมอ ไม่มีการนั่งว่าง ท่านประดับธงชาติทุกวันสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาและวันชาติ ไม่เคยตกหล่น ตั้งแต่เมื่อยามลำบาก จนถึงปีเดือนสุดท้ายอันสุขสบายของชีวิต เพื่อระลึกถึงชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ที่ทำให้การทำมาหากินและอยู่อาศัยของประชาชนร่มเย็นเป็นสุข สามารถประสบความสำเร็จตามครรลองได้ ทั้งด้วยพระกรุณา และด้วยสิ่งที่ทรงสั่งสอนรวมทั้งปฏิบัติเป็นตัวอย่าง
..............................
ผู้เข้าใจแนวคิดที่พระราชทานมา ก็เลือกแนวทางชีวิตลำบากเพื่อลูกหลาน ... โดยการอุทิศแรงกายแรงใจอย่างเข้มข้น แล้วผลแห่งความพยายามก็ย้อนกลับให้ตนเองและคนรุ่นต่อไปสุขสบาย เรียกได้ว่า เป็นพ่อแม่ที่ประเสริฐ
แต่ผู้ไม่เข้าใจ ได้เงินมาก็เร่งหาความมีหน้ามีตา หาความสะดวกทั้งหลาย แม้ไม่มีเงินก็ยังอุตส่าห์ไขว่คว้าหาทางก่อหนี้ เอาเงินมาสร้างชีวิตหรูหราให้กับตนเอง
ซื้อความสบายก่อน บอกว่านี่คือความศิวิไลซ์ แล้วหนี้ค่อยว่ากันภายหลัง ไม่มีแม้แต่แผนสร้างเงินใช้หนี้
สุดท้ายหนี้ไปตกกับลูกหลาน ทำให้ลูกหลานลำบาก เกิดข้อกังขาว่า เป็นพ่อเป็นแม่ภาษาอะไร
..............................
ชีวิตอันทรงคุณค่าของคุณแม่สมใจที่ทำให้ลูกหลานได้สบาย เป็นการกระทำตามวิถีทางเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพสกนิกรชาวไทย … เป็นวิธี ใช้เงินให้มีเงินเหลือ ... ตามรับสั่งของพระองค์ท่าน
ซึ่งมีข้อพิสูจน์ความสำเร็จแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริง
จากจักรซิงเกอร์ตัวเดียว สู่แมร์เซเดสเบ๊นซ์ 5 คัน ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ...
จากผู้ไม่มีใครรู้จักสนใจให้ความนับหน้าถือตาในสังคม สู่วันสุดท้ายอันยิ่งใหญ่พรั่งพร้อมไปด้วยแขกผู้มีเกียรติมีชื่อเสียงมากมาย

จึงขอยกตัวอย่างเป็นเครื่องมือสอนใจ ... ไปยังผู้ที่เวียนว่ายในความปรารถนาหาความมีหน้ามีตาความสะดวกสบาย โดยไร้พื้นฐานของการทำมาหากินอดออมถนอมรายได้และการใช้ชีวิตแบบพอเพียง ...
การเริ่มจาก จักรซิงเกอร์ตัวเดียว ไปสู่ แมร์เซเดสเบ๊นซ์ 5 คัน นั้น ที่ทำได้เป็นเพราะ จักรซิงเกอร์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน
แต่ถ้าตั้งต้นจากกู้หนี้มาซื้อ แมร์เซเดสเบ๊นซ์ หรือความหรูหราทั้งหลาย อาจจะต้องไปลงเอยที่ จักรซิงเกอร์ตัวเดียว ในตอนที่ไม่เหลือพละกำลังจะทำอะไรอีกต่อไป
ทั้งนี้ เพราะความหรูหรามีหน้ามีตาและความสะดวกสบาย ... มันไม่ใช่เครื่องมือทำมาหากิน ...


เอกสารสนับสนุน:

http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=104627
กองทุนคนพอเพียง รวยกว่าประชานิยม [19 ก.ย. 2551]

นักวิชาการในห้องแอร์ นักการเมืองประชานิยมเชื่อว่า การพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นความยากจนได้... ต้องให้คนจนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายที่สุด นโยบายที่ว่า...หว่านเงินกู้ให้กับชาวบ้านผ่านทางกองทุนต่างๆ และธนาคารของรัฐไปยังชนบท ด้วยเชื่อว่า เงินคือพระเจ้า...ชาวบ้านมีเงิน ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้นมาได้เอง
แต่สิ่งที่นักวิชาการระดับด็อกเตอร์มอง นักเลือกตั้งประชานิยมเชื่อ... ชนชั้นรากหญ้า ผู้ใช้ชีวิตยืนตากแดดกลางทุ่ง นอนกางมุ้งใต้หลังคาสังกะสี ใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา กลับเห็นตรงข้าม

“เอากองทุนมาให้ เอาโน้นเอานี่มาให้ แต่ทำไปทำมาเรากลับมีหนี้มากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งอยากได้เงินมากเท่าไร พยายามขยันทำมาหาเงินเท่าไร หนี้ยิ่งกลับเพิ่มมากเท่านั้น … เราลงทุนทำนามากขึ้น อยากได้เงินไปซื้อโน้นซื้อนี่ แต่สุดท้ายเราแทบไม่ได้อะไรเลย คนที่ได้กลับเป็นพ่อค้าขายปุ๋ย ขายเคมียาฆ่าแมลงในตลาดโน้น”

นายอนุพงษ์ พุฒกลาง ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียง ต.กระเบื้องใหญ่ ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย เล่าถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

และไม่น่าเชื่อ มุมมองของชนชั้นรากหญ้า ช่างสอดคล้องต้องกับรายงานการศึกษาของนักวิจัย มหาวิทยาลัยเอ็มไอที สหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

พบว่า...เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองของรัฐบาลไทยที่ทำลงไปนั้น ประชาชนในหมู่บ้าน ไม่ได้นำเงินไปลงทุนในภาคเกษตร หรือธุรกิจต่อเนื่องเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของโครงการแต่อย่างใด … ชาวบ้านกู้เงินไปใช้ในการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ โดยรายจ่ายหลักคือการซ่อมแซมบ้าน ซ่อมแซมรถ ซื้อน้ำมันรถ นม เหล้า บุหรี่ … และตั้งแต่เงินกู้จากกองทุนเข้าไปในหมู่บ้าน กลับทำให้การกู้เงินนอกระบบ กู้เงินจากสถาบันการเงินขยายตัวเพิ่มตามไปด้วย...กู้เอาไปใช้หนี้คืนกองทุนหมู่บ้านฯ

งานวิจัยชิ้นนี้ ยังพบอีกว่า หนี้เสียของกองทุนฯ ซึ่งวัดจากการผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือน มีเพิ่มสูงถึง 19% … ต่างจากที่สถาบันการเงินของรัฐ รายงานว่ามีหนี้เสียแค่ 4%

กองทุนที่รัฐหยิบยื่นก่อให้เกิดหนี้...ไม่เหมือนการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เราอยู่แบบพอเพียงถึงจะไม่มีเงิน แต่เราก็มีกิน ไม่อดตาย และไม่มีหนี้ ที่สำคัญทำให้ชาวบ้านสามารถยืนได้โดยลำแข้งของเราเอง โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาคนอื่น ชีวิตอย่างนี้ยั่งยืนกว่า มั่นคงกว่า...หวังพึ่งพาแต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาล”

เป็นความรู้สึกจากใจ ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียงฯ ที่ได้สัมผัสการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากภาครัฐมาไม่น้อยว่า ผลสุดท้ายมักจะลงเอยเช่นไร

----------------------------------------------------

http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=104628
ทุนนิยมล่มสลาย ถึงเวลาเศรษฐกิจพอเพียง [19 ก.ย. 2551]

ทุนนิยมเสรีสุดโต่ง ทำให้ “คนเก่ง” และ “คนโกง” เกิดขึ้นมากมาย เพราะรวยง่ายและรวยเร็ว ทำให้ผู้คนเกิดความโลภโมโทสันไปทั่วโลก ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมเสื่อมทราม “วิกฤติซับไพร์ม” ที่เป็น “จุดเริ่มต้นแห่งความหายนะ” ก็เกิดจากความโลภ “สร้างกำลังซื้อเทียม” ด้วยการปล่อยกู้ให้คนที่ไม่มีงานทำไม่มีฐานะ เอาเงินไปเก็งกำไรซื้อขายบ้าน แล้วเอาสินเชื่อบ้านเหล่านั้นไปทำเป็นตราสารหนี้ขายต่อไปอีกไม่รู้กี่ทอด สุดท้ายหมุนเงินไม่ทันก็เจ๊ง

ช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ไทยก็เห่อทุนนิยมเสรีสุดโต่ง ผมเคยเขียนทักท้วงไม่อยากให้รัฐบาลใช้ “ตัวเลขจีดีพี” เป็นเป้าหมายบริหารประเทศ เพราะ คนที่จนและอ่อนแอกว่าไล่ตามไม่ทัน ขอให้ใช้ ความสุขของประชาชน เป็นเป้าหมาย โดยนำปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ของ “ในหลวง” มาใช้ แต่ไม่สำเร็จ

วันนี้เมื่อทุนนิยมเสรีสุดโต่งกำลังล่มสลาย ผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่ รัฐบาลใหม่ จะนำมาทบทวนกันใหม่ ทำให้คนไทยทุกคน “พอเพียง” ในการมีชีวิตอย่างมีความสุข ดีกว่าการแข่งขันกันรวยจนเกิด ความโลภ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสุดท้ายก็เป็นผลเสียระบบและสังคมส่วนรวมอย่างที่เห็น

ลม เปลี่ยนทิศ

----------------------------------------------------

http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000115237
บทเรียน "เศรษฐกิจพอเพียง" จากวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ [29 ก.ย. 2551]

ผมนึกย้อนไป 3-4 ปี การที่เมืองไทยมีปัญหาวุ่นวายภายใน หันมายึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง มากขึ้น มีวินัยทางการเงินมากขึ้น ตัวอย่างการยอมเก็บค่าน้ำมันมากขึ้นเพื่อล้างหนี้กองทุนน้ำมันเกือบแสนล้านบาท ก็เป็นตัวอย่างนโยบายที่จะเสียคะแนนนิยม เพราะดูเหมือนรัฐบาล "ขิงแก่" ไม่ช่วยเหลือราษฎร ซึ่งในความเป็นจริง นโยบายเอาใจประชาชนก็เป็นเพียงการสะสมภาระหนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องชำระ หรือผู้ใช้น้ำมันยุคต่อมาต้องรับผิดชอบอยู่ดี ตั๋วเงินคลังของประเทศในยุครัฐบาลเศรษฐกิจพอเพียง ก็ลดลงจาก 2.5 แสนล้านบาท เหลือเพียง 1.5 แสนล้านบาท ทำให้เรามีวินัยทางการเงินและความมั่นคงทางการเงินดีขึ้นมาก เป็นความเสียสละอย่างแท้จริงที่มัวแต่ยึดวินัยเพื่อความมั่นคงทางการเงิน แต่หลายคนหลงไปวิจารณ์ว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่มีผลงานถูกใจประชาชน !! …

เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้แปลว่า ไม่ค้าขาย ไม่ขยายงาน แต่ต้องกระทำด้วยความพอดี ใช้เหตุผล และมีภูมิคุ้มกันต่อปัญหา โดยประกอบด้วยหลักคุณธรรม และความรอบคอบรอบรู้ เป็นรากฐานในการดำเนินการใดๆที่คนไทยน่าจะร่วมกันภาคภูมิใจและยึดถือปฏิบัติโดยทั่วกันอย่างแท้จริง

มนตรี ศรไพศาล