วันอาทิตย์ที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2552

ก้าวแรก: อาชญากรไทยสู่อาชญากรโลก - เมื่อศาลอาญาระหว่างชาติตอบอีเมลลักษณา

12 ตุลาคม 2552

ขอระลึกถึงผู้บาดเจ็บล้มตายเมื่อ 7 ตุลาคม 2551 ด้วยความเคารพนับถือ

และขอแสดงความซาบซึ้งในจิตใจของผู้ตั้งมั่นชุมนุมโดยไม่หวั่นต่อระเบิดและกระสุนพิฆาต ที่น่าจะได้รับการสั่งการจากรัฐบาลชั่ว ในวันเวลาหลังจากนั้น

มันทำให้ชาติไทยอยู่รอดด้วยสัญญาณความกล้าหาญที่ประชาชนผู้ตื่นรู้ส่งออกมา

นักการเมืองผู้คิดขายชาติ คิดเอาประชาชนเป็นทาส และคิดล้มล้างการปกครอง ได้ทราบว่า ประชาชนผู้ตื่นรู้มีมากพอที่จะไม่ให้เขาทำเช่นนั้น

ประชาชนผู้ตื่นรู้ มีจำนวนมากพอที่จะไม่ปล่อยให้คนทั้งประเทศตกเป็นทาสนักการเมือง ไม่ว่าจะโกงการเลือกตั้งชนะกี่ครั้งก็ตาม

ฝรั่งเรียก Cycle of Instability

คือโกงการเลือกตั้งเข้าไปได้อีกก็ต้องชุมนุมกันอีก

การชุมนุมโดยไม่ต้องจ้าง ชุมนุมได้ยาวนาน ซึ่งการชุมนุมเชิงพาณิชย์ทำไม่ได้

ความยาวนานไม่ได้ทำไปเพื่อลงกินเนสส์บุ๊ค แต่เป็นเพราะกระบวนการยุติธรรมมีอุปสรรคและเชื่องช้า กว่าจะยุบพรรคได้ ผู้บริสุทธิ์ก็บาดเจ็บล้มตายกันเป็นจำนวนมาก

เปลี่ยนผู้บริหารประเทศใหม่ ไม่ได้อย่างที่หวังก็เป็นเรื่องธรรมดาของการฟื้นไข้ เป็นเรื่องที่ประชาชนต้องช่วยกันพัฒนาฝ่าขวากหนามกันต่อไป ไม่ใช่งอมืองอเท้าเอาแต่บ่นด่า

ในความยาวนานของการชุมนุมปกป้องประเทศชาตินั้น ส่วนหนึ่งดูแล้วน่าจะเป็นกลไกกำจัดคนชั่วด้วยกฎแห่งกรรม เพราะคนชั่วได้แสดงความชั่วอย่างชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ทุกสิ่งที่ทำ เป็นหลักฐานความชั่วเพิ่มที่ตามมัดตัว อะไรที่ไม่เคยเห็นชัดๆก็ได้เห็นชัดๆ ที่เคยแอบๆก็ออกมาโชว์ตัวออกหน้าออกตา คิดว่าชนะชัวร์เลยแสดงความชั่วไม่ติดเบรก พวกชั่วระดับปลาซิวก็โดนซิวเรียบร้อยไประดับหนึ่ง ส่วนพวกอภิมหาชั่วยังได้รับการแช่แข็งคดี เปิดโอกาสให้พยายามกบฏอีกสักทีสองที

ในความรู้สึกรับผิดชอบต่อชาติบ้านเมือง ในฐานะที่มีโอกาสทางการศึกษา การรับใช้แผ่นดินเกิดของดิฉัน จึงเป็นการนำความรู้ประสบการณ์มาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติประชาชน การวิเคราะห์ข้อมูล สรุปผล และนำเสนอเป็นภาษาอังกฤษเพื่อให้เกิดการรับรู้ของกลุ่มเป้าหมายในระดับโลก เป็นสิ่งที่นำมาใช้เป็นหลัก

ระหว่างเหตุการณ์รัฐบาลกลุ่มทักษิณกระทำกับประชาชน ข้อมูลสด ภาพสด รวมทั้งสาระแวดล้อมทั้งในอดีตและที่เกิดขึ้นใหม่ ได้ถูกนำมาเขียนเป็นบทความส่งผู้นำโลกประมาณพันห้าร้อยคน ทุกครั้งที่เกิดความวิกฤติ ข้อมูลสด ภาพสด และบทสรุปวิเคราะห์ถูกส่งออกไป

ข้อมูลสด ภาพสด หมายถึงสิ่งที่เก็บจากเหตุการณ์แล้วนำเสนอทันที ซึ่งเป็นที่ยอมรับว่ามีความน่าเชื่อถือกว่าข้อมูลและภาพที่ส่งหลังเหตุการณ์นานๆ

หนึ่งในบทความ ชื่อ “The New Weapon Called LIE”

หนึ่งในเหตุการณ์ที่ส่งไป คือการฝังความทรงจำให้กลุ่มผู้สนับสนุนทักษิณกระทำความผิดอาญามาตรา 107 โดยการแสดงละครก่อนโฟนอินที่รัชมังคลาฯ ซึ่งผู้มีหน้าที่จัดการในประเทศไทยพากันแสดงความมืดบอดในสติปัญญา ไม่รู้ว่ามันคืออะไร

หนึ่งในผู้รับสาระทั้งหมดนี้ คือ กลุ่มผู้บริหารสูงสุดรัฐบาลอังกฤษ กลุ่มผู้บริหารสูงสุดสหประชาชาติ และอัยการกับผู้พิพากษาสูงสุดศาลอาญาระหว่างชาติ

ในขณะที่หน่วยงานในไทย ไม่อินังขังขอบกับบทความ การติดต่อ การเตือน และการเน้นย้ำที่ดิฉันส่งไป ทั้งสามหน่วยงานระดับโลกตอบดิฉันทั้งหมด

ล่าสุด ได้รับอีเมลตอบจากศาลอาญาระหว่างชาติ

ก็แน่นอนว่า มันยังไม่เป็นคดี เนื่องจากเงื่อนไขที่ศาลอาญาระหว่างชาติถูกก่อตั้งขึ้นมา รับคดีจากไหนได้บ้างนั้นบังคับอยู่ ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ดิฉันไม่ทราบ

ศาลฯได้แจ้ง 3 เงื่อนไขที่เราอาจดำเนินตาม เพื่อนำเรื่องขึ้นเป็นคดี

ช่องทางหนึ่ง คือผ่านการเสนอของฝ่ายความมั่นคงสหประชาชาติ ซึ่งดิฉันได้ส่งข้อมูลไปให้เท่าๆกับที่ศาลอาญาระหว่างชาติได้รับ

ส่วนเงื่อนไขอื่นๆ ก็อาจผลักดันต่อไปได้เหมือนกัน

ประเด็นสำคัญอยู่ที่:

1. ศาลอาญาระหว่างชาติอยู่อีกฝั่งของโลก ได้เขียนตอบเรื่องโดยนับถือและอย่างสร้างสรรค์ ไม่มีสักนิดที่จะแสดงความไม่เชื่อถือหรือปิดกั้นหนทางให้ความยุติธรรม รวมทั้งมีการตอบกลับตั้งแต่ได้รับเอกสารและเมื่อพิจารณาเรื่องเสร็จอีกด้วย แม้ผู้ยื่นเรื่องจะเป็นบุคคลคนเดียวจากประเทศกำลังพัฒนาที่อยู่ห่างไกล ตรงกันข้ามกับพฤติกรรมของหน่วยงานยุติธรรมขั้นต้นของไทย

2. ศาลอาญาระหว่างชาติระบุยืนยันว่าจะเก็บเรื่องไว้ เมื่อไรที่เงื่อนไขพร้อมรับเข้าเป็นคดี ก็พร้อมรื้อฟื้นเรื่องนำไปเป็นคดีได้

3. ศาลอาญาระหว่างชาติแนะนำให้ใช้กลไกยุติธรรมอื่นๆทั้งของชาติและนานาชาติเป็นการตั้งต้น ซึ่งสำหรับระดับภายในประเทศดิฉันได้ทำอยู่แล้ว และหากไม่เป็นผล ก็จะเป็นหลักฐานว่ากระบวนการยุติธรรมของชาติไม่ยินดีรับ อันเป็นหนึ่งในเหตุผลที่อยู่ในเงื่อนไขที่ศาลอาญาระหว่างชาติจะพิจารณารับคดี

สิ่งที่ได้เกิดขึ้นอย่างแน่นอนก็คือ ข้อมูลและหลักฐานภาพการกระทำอาชญากรรมต่อประชาชนของกลุ่มทักษิณ เข้าไปเก็บรอรื้อฟื้นอยู่ในศาลอาญาระหว่างประเทศเรียบร้อยแล้ว โดยประชาชนธรรมดา

เป็นก้าวแรกของโปรเจ็คโกอินเตอร์ “จากอาชญากรไทยสู่อาชญากรโลก”

สิ่งนี้ให้ความมั่นใจในผลที่ต้องการอีกอย่างหนึ่งคือ ประวัติศาสตร์ไทยจะต้องเขียนอย่างถูกต้อง แม้วันใดกลุ่มทักษิณจะรวบอำนาจเบ็ดเสร็จได้ และเปลี่ยนประวัติศาสตร์สีดำเปื้อนเลือดในการกระทำของตนให้เป็นขาว แต่ข้อมูลประวัติศาสตร์แท้จริง ยังอยู่ในมือของผู้นำโลกพันกว่าคน

ให้โลกจารึกไว้ว่าผู้ปกครองประเทศคนใหม่ ได้เข้าสู่อำนาจด้วยการอภิมหาโกหก บนการฆ่าทำร้ายประชาชน ด้วยความร่วมมือของข้าราชการชั่ว ที่ถือทั้งอาวุธและอำนาจจากภาษีประชาชนหันเข้าคุกคามทำร้ายประชาชน และทำให้คนทั้งชาติกลายเป็นทาสทั้งแบบรู้ตัวและไม่รู้ตัว

แต่เราจะไม่ให้วันนั้นมีขึ้น

โปรเจ็คโกอินเตอร์ “จากอาชญากรไทยสู่อาชญากรโลก” จึงต้องมีเฟสต่อไป ซึ่งประชาชนคนไหนก็ทำได้ ไม่ต้องเฉพาะ ลักษณา กรณ์ศิลป

วันพุธที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2552

จากจักรซิงเกอร์ตัวเดียว สู่แมร์เซเดสเบ๊นซ์ 5 คัน ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง

ศึกษาความเป็นจริงที่คนทั่วไปไม่ค่อยได้รับรู้และเข้าใจ ในกลไกการทำงานของความพอเพียง
3 ตุลาคม 2551

หนังสือพระราชทานเพลิงศพ ฉบับเผยแพร่วันที่ 5 สิงหาคม 2549 สรุปฉากชีวิตทรงคุณค่าของสตรีท่านหนึ่ง
ผู้อ่านทั้งหลายได้สัมผัสกับวิธีการพัฒนาเศรษฐกิจของครอบครัว อันเป็นหน่วยเล็กที่สุดของสังคม ด้วยกำลังกายกำลังความคิด การยึดมั่นในความซื่อสัตย์ ความรักประเทศชาติเทิดทูนกษัตริย์ และ การประยุกต์ใช้หลักเศรษฐกิจพอเพียง ของพสกนิกรคนหนึ่งของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ชื่อคุณแม่สมใจ
จากไม่มีประกาศนียบัตรการศึกษาขั้นใด สตรีท่านนี้ได้จักรซิงเกอร์ 1 คันจากทางบ้านในวันแต่งงานเพื่อเป็นเครื่องมือในการเลี้ยงชีพ
ตั้งต้นจากตรงนั้น ท่านกับสามีทำมาหาเลี้ยงครอบครัว ได้เงินมา ไม่เคยนำไปกินใช้ให้ตนเองมีหน้ามีตามีความสะดวกสบาย แต่กระเหม็ดกระแหม่สะสมไว้ ส่งลูกให้ได้เรียนสูงๆเท่าที่จะทำได้ บนความลำบากอย่างสาหัสของตน อะไรที่จะทำให้ได้เงินงอกเงยอย่างสุจริต คุณแม่คิดออกเมื่อไรก็ไม่รีรอที่จะลงมือ แต่ไม่ว่าจะเริ่มกิจการใดๆขึ้นมาใหม่ ก็มีจักรซิงเกอร์ตัวนั้น เป็นส่วนสนับสนุนในการหารายได้ตลอดมา
ครอบครัวได้กินอาหารครบหมู่ แบบไม่ต้องเป็นของแพง ได้กินผักผลไม้ตามฤดูกาล เพราะยามนั้นมันถูกที่สุด
24 ชั่วโมงของวัน คุณแม่สมใจนอนดึกตื่นเช้ามืด ไม่เคยนั่งว่าง เพราะว่างเมื่อไรก็คือ ในอนาคตอีกไม่กี่วันก็อดเมื่อนั้น
ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ ทุกอย่างต้องแลกด้วยหยาดเหงื่อ เลือด (จากอะไรต่ออะไรบาดในการทำงาน) แต่ไม่ใช่น้ำตา: Blood, Sweat, but no Tears
ไม่มีใครในบ้านนี้เสียเวลาร้องไห้เพราะความอับจนหรือน้อยใจที่เกิดมาไม่เท่าเทียม เพราะเวลาในการคิดเรื่องที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์จนเกิดการฟุ้งซ่านไปสู่การร้องไห้ ... มันไม่มี
ลูกๆของคุณแม่ ได้เรียนรู้ตัวอย่างการขยันและซื่อสัตย์โดยทั่วหน้า ไม่มีใครนั่งว่างเป็นท่านสอนให้ลูกคนต่อๆไปเคารพและทำตามพี่ และสร้างพี่คนโตให้เป็นตัวอย่างที่ดี ลูกๆทุกคนเลยดีหมดโดยใช้เวลาสอนจริงๆแค่คนเดียว … ประสิทธิภาพจากคอมม่อนเซ้นส์ โดยไม่ต้องลงทุนไปเรียนที่ไหน (ขออภัยที่นำภาษาต่างประเทศมาปนเปื้อน เพราะกลุ่มผู้อ่านบางส่วนเป็นนักวิชาการที่ชอบใช้ภาษาสไตล์อาณานิคม)
ลูกคนแรกได้เข้าโรงเรียนดี จากความพยายามทุกรูปแบบเท่าที่ทำได้ในกรอบความซื่อสัตย์ พี่คนโตจบการศึกษาระดับมาตรฐานอันเป็นที่ยอมรับในสังคม และเริ่มทำงาน หลังจากนั้นก็ยังศึกษาต่ออีกเรื่อยๆ
ลูกคนต่อๆมามีพลังผลักดันในจิตใต้สำนึก ต้องตามพี่ให้ได้ ไม่ว่าจะมีเงินหรือไม่ แต่ต้องไม่โกงใคร
ในที่สุด ทุกคนเรียนจบอย่างดี ด้วยการได้ทุนบวกกับการลงทุนจากการประหยัดอดออมของพ่อแม่และพี่
คุณแม่สมใจแต่งงานอายุ 28 เมื่อลูกคนโตอายุ 20 กว่า ก็เริ่มทำงานเลี้ยงครอบครัว ลูกเคยเห็นแม่ลำบากเหลือหลาย มันติดอยู่ในสายตาและเสียดแทงเข้าไปในจิตใจ ตั้งใจว่าถ้าทำงานได้ จะไม่ให้แม่ต้องลำบากอีกเลย
ตกลงตอนคุณแม่อายุ 50 กว่าๆ คุณแม่ก็ได้ปลดเกษียณแล้ว!
อีก 20 กว่าปีต่อมา ลูกๆคุณแม่ล้วนก่อร่างสร้างฐานะ เน้นสะสมรายได้และต่อยอดรายได้ไปเรื่อยๆ โดยไม่สนใจลงทุนหาความมีหน้ามีตาความสะดวกสบาย
แต่ในช่วงเวลาเหล่านี้ ครอบครัวลูกๆคุณแม่ก็มีรถแมร์เซเดสเบ๊นซ์ใช้คนละ 1-2 คัน รวมแล้ว 5 คัน นอกจากนั้นยังมียี่ห้ออื่นๆอีก “เป็นผลพลอยได้” ของการทำงานเอาจริงเอาจัง ...
ความมีหน้ามีตามีความสะดวกสบายมันทยอยตามมาโดยไม่ได้สนใจเรียกร้องต้องการ
จึงเป็นหลักให้จดจำว่า หากเริ่มด้วยการยอมลำบาก รู้จักอดออม ใช้เงินตามที่จำเป็น หลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ สร้างฐานะต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่สนใจและไม่ลงทุนไขว่คว้าความมีหน้ามีตาความสะดวกสบายให้สิ้นเปลือง ... ตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง
ถึงจุดหนึ่ง ความมีหน้ามีตามีความสะดวกสบายมันจะวิ่งตามมาเอง ถึงตอนนั้นจะใช้เงินทำอะไร ก็แล้วแต่พิจารณา บนพื้นฐานของเหตุผลและความคุ้มค่า ...
เช่น แมร์เซเดสเป็นรถราคาสูง แต่ไม่ใช่ราคาแพง เพราะมีเหตุผลในความสูงของราคา
สำหรับคุณแม่สมใจ แม้จะก้าวสู่ฐานะที่ดี แต่ก็ยังดำรงตนอยู่ในความเรียบง่าย ประหยัด อดออม รวมทั้งทำอะไรให้เป็นประโยชน์เสมอ ไม่มีการนั่งว่าง ท่านประดับธงชาติทุกวันสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวันเฉลิมพระชนมพรรษาและวันชาติ ไม่เคยตกหล่น ตั้งแต่เมื่อยามลำบาก จนถึงปีเดือนสุดท้ายอันสุขสบายของชีวิต เพื่อระลึกถึงชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ ที่ทำให้การทำมาหากินและอยู่อาศัยของประชาชนร่มเย็นเป็นสุข สามารถประสบความสำเร็จตามครรลองได้ ทั้งด้วยพระกรุณา และด้วยสิ่งที่ทรงสั่งสอนรวมทั้งปฏิบัติเป็นตัวอย่าง
..............................
ผู้เข้าใจแนวคิดที่พระราชทานมา ก็เลือกแนวทางชีวิตลำบากเพื่อลูกหลาน ... โดยการอุทิศแรงกายแรงใจอย่างเข้มข้น แล้วผลแห่งความพยายามก็ย้อนกลับให้ตนเองและคนรุ่นต่อไปสุขสบาย เรียกได้ว่า เป็นพ่อแม่ที่ประเสริฐ
แต่ผู้ไม่เข้าใจ ได้เงินมาก็เร่งหาความมีหน้ามีตา หาความสะดวกทั้งหลาย แม้ไม่มีเงินก็ยังอุตส่าห์ไขว่คว้าหาทางก่อหนี้ เอาเงินมาสร้างชีวิตหรูหราให้กับตนเอง
ซื้อความสบายก่อน บอกว่านี่คือความศิวิไลซ์ แล้วหนี้ค่อยว่ากันภายหลัง ไม่มีแม้แต่แผนสร้างเงินใช้หนี้
สุดท้ายหนี้ไปตกกับลูกหลาน ทำให้ลูกหลานลำบาก เกิดข้อกังขาว่า เป็นพ่อเป็นแม่ภาษาอะไร
..............................
ชีวิตอันทรงคุณค่าของคุณแม่สมใจที่ทำให้ลูกหลานได้สบาย เป็นการกระทำตามวิถีทางเศรษฐกิจพอเพียง ตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของพสกนิกรชาวไทย … เป็นวิธี ใช้เงินให้มีเงินเหลือ ... ตามรับสั่งของพระองค์ท่าน
ซึ่งมีข้อพิสูจน์ความสำเร็จแล้ว ในโลกแห่งความเป็นจริง
จากจักรซิงเกอร์ตัวเดียว สู่แมร์เซเดสเบ๊นซ์ 5 คัน ด้วยเศรษฐกิจพอเพียง ...
จากผู้ไม่มีใครรู้จักสนใจให้ความนับหน้าถือตาในสังคม สู่วันสุดท้ายอันยิ่งใหญ่พรั่งพร้อมไปด้วยแขกผู้มีเกียรติมีชื่อเสียงมากมาย

จึงขอยกตัวอย่างเป็นเครื่องมือสอนใจ ... ไปยังผู้ที่เวียนว่ายในความปรารถนาหาความมีหน้ามีตาความสะดวกสบาย โดยไร้พื้นฐานของการทำมาหากินอดออมถนอมรายได้และการใช้ชีวิตแบบพอเพียง ...
การเริ่มจาก จักรซิงเกอร์ตัวเดียว ไปสู่ แมร์เซเดสเบ๊นซ์ 5 คัน นั้น ที่ทำได้เป็นเพราะ จักรซิงเกอร์เป็นเครื่องมือทำมาหากิน
แต่ถ้าตั้งต้นจากกู้หนี้มาซื้อ แมร์เซเดสเบ๊นซ์ หรือความหรูหราทั้งหลาย อาจจะต้องไปลงเอยที่ จักรซิงเกอร์ตัวเดียว ในตอนที่ไม่เหลือพละกำลังจะทำอะไรอีกต่อไป
ทั้งนี้ เพราะความหรูหรามีหน้ามีตาและความสะดวกสบาย ... มันไม่ใช่เครื่องมือทำมาหากิน ...


เอกสารสนับสนุน:

http://www.thairath.co.th/news.php?section=hotnews02&content=104627
กองทุนคนพอเพียง รวยกว่าประชานิยม [19 ก.ย. 2551]

นักวิชาการในห้องแอร์ นักการเมืองประชานิยมเชื่อว่า การพัฒนาที่สามารถพลิกฟื้นความยากจนได้... ต้องให้คนจนเข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายที่สุด นโยบายที่ว่า...หว่านเงินกู้ให้กับชาวบ้านผ่านทางกองทุนต่างๆ และธนาคารของรัฐไปยังชนบท ด้วยเชื่อว่า เงินคือพระเจ้า...ชาวบ้านมีเงิน ชีวิตก็จะมีความสุขขึ้นมาได้เอง
แต่สิ่งที่นักวิชาการระดับด็อกเตอร์มอง นักเลือกตั้งประชานิยมเชื่อ... ชนชั้นรากหญ้า ผู้ใช้ชีวิตยืนตากแดดกลางทุ่ง นอนกางมุ้งใต้หลังคาสังกะสี ใน อ.พิมาย จ.นครราชสีมา กลับเห็นตรงข้าม

“เอากองทุนมาให้ เอาโน้นเอานี่มาให้ แต่ทำไปทำมาเรากลับมีหนี้มากขึ้นกว่าเดิม ยิ่งอยากได้เงินมากเท่าไร พยายามขยันทำมาหาเงินเท่าไร หนี้ยิ่งกลับเพิ่มมากเท่านั้น … เราลงทุนทำนามากขึ้น อยากได้เงินไปซื้อโน้นซื้อนี่ แต่สุดท้ายเราแทบไม่ได้อะไรเลย คนที่ได้กลับเป็นพ่อค้าขายปุ๋ย ขายเคมียาฆ่าแมลงในตลาดโน้น”

นายอนุพงษ์ พุฒกลาง ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียง ต.กระเบื้องใหญ่ ต.สัมฤทธิ์ อ.พิมาย เล่าถึงปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา

และไม่น่าเชื่อ มุมมองของชนชั้นรากหญ้า ช่างสอดคล้องต้องกับรายงานการศึกษาของนักวิจัย มหาวิทยาลัยเอ็มไอที สหรัฐอเมริกา ที่เพิ่งเปิดเผยเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา

พบว่า...เงินกองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมืองของรัฐบาลไทยที่ทำลงไปนั้น ประชาชนในหมู่บ้าน ไม่ได้นำเงินไปลงทุนในภาคเกษตร หรือธุรกิจต่อเนื่องเพิ่มขึ้นตามเป้าหมายของโครงการแต่อย่างใด … ชาวบ้านกู้เงินไปใช้ในการบริโภคเป็นส่วนใหญ่ โดยรายจ่ายหลักคือการซ่อมแซมบ้าน ซ่อมแซมรถ ซื้อน้ำมันรถ นม เหล้า บุหรี่ … และตั้งแต่เงินกู้จากกองทุนเข้าไปในหมู่บ้าน กลับทำให้การกู้เงินนอกระบบ กู้เงินจากสถาบันการเงินขยายตัวเพิ่มตามไปด้วย...กู้เอาไปใช้หนี้คืนกองทุนหมู่บ้านฯ

งานวิจัยชิ้นนี้ ยังพบอีกว่า หนี้เสียของกองทุนฯ ซึ่งวัดจากการผิดนัดชำระหนี้เกิน 3 เดือน มีเพิ่มสูงถึง 19% … ต่างจากที่สถาบันการเงินของรัฐ รายงานว่ามีหนี้เสียแค่ 4%

กองทุนที่รัฐหยิบยื่นก่อให้เกิดหนี้...ไม่เหมือนการดำเนินชีวิตแบบเศรษฐกิจพอเพียง ตามแนวพระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

“เราอยู่แบบพอเพียงถึงจะไม่มีเงิน แต่เราก็มีกิน ไม่อดตาย และไม่มีหนี้ ที่สำคัญทำให้ชาวบ้านสามารถยืนได้โดยลำแข้งของเราเอง โดยไม่ต้องหวังพึ่งพาคนอื่น ชีวิตอย่างนี้ยั่งยืนกว่า มั่นคงกว่า...หวังพึ่งพาแต่ความช่วยเหลือจากรัฐบาล”

เป็นความรู้สึกจากใจ ประธานกองทุนสวัสดิการชุมชนคนพอเพียงฯ ที่ได้สัมผัสการหวังพึ่งความช่วยเหลือจากภาครัฐมาไม่น้อยว่า ผลสุดท้ายมักจะลงเอยเช่นไร

----------------------------------------------------

http://www.thairath.co.th/news.php?section=society03&content=104628
ทุนนิยมล่มสลาย ถึงเวลาเศรษฐกิจพอเพียง [19 ก.ย. 2551]

ทุนนิยมเสรีสุดโต่ง ทำให้ “คนเก่ง” และ “คนโกง” เกิดขึ้นมากมาย เพราะรวยง่ายและรวยเร็ว ทำให้ผู้คนเกิดความโลภโมโทสันไปทั่วโลก ศีลธรรม คุณธรรม และจริยธรรมเสื่อมทราม “วิกฤติซับไพร์ม” ที่เป็น “จุดเริ่มต้นแห่งความหายนะ” ก็เกิดจากความโลภ “สร้างกำลังซื้อเทียม” ด้วยการปล่อยกู้ให้คนที่ไม่มีงานทำไม่มีฐานะ เอาเงินไปเก็งกำไรซื้อขายบ้าน แล้วเอาสินเชื่อบ้านเหล่านั้นไปทำเป็นตราสารหนี้ขายต่อไปอีกไม่รู้กี่ทอด สุดท้ายหมุนเงินไม่ทันก็เจ๊ง

ช่วง 6-7 ปีที่ผ่านมา ไทยก็เห่อทุนนิยมเสรีสุดโต่ง ผมเคยเขียนทักท้วงไม่อยากให้รัฐบาลใช้ “ตัวเลขจีดีพี” เป็นเป้าหมายบริหารประเทศ เพราะ คนที่จนและอ่อนแอกว่าไล่ตามไม่ทัน ขอให้ใช้ ความสุขของประชาชน เป็นเป้าหมาย โดยนำปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” ของ “ในหลวง” มาใช้ แต่ไม่สำเร็จ

วันนี้เมื่อทุนนิยมเสรีสุดโต่งกำลังล่มสลาย ผมคิดว่าน่าจะเป็นโอกาสดีที่ รัฐบาลใหม่ จะนำมาทบทวนกันใหม่ ทำให้คนไทยทุกคน “พอเพียง” ในการมีชีวิตอย่างมีความสุข ดีกว่าการแข่งขันกันรวยจนเกิด ความโลภ ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งสุดท้ายก็เป็นผลเสียระบบและสังคมส่วนรวมอย่างที่เห็น

ลม เปลี่ยนทิศ

----------------------------------------------------

http://www.manager.co.th/StockMarket/ViewNews.aspx?NewsID=9510000115237
บทเรียน "เศรษฐกิจพอเพียง" จากวิกฤตการณ์แฮมเบอร์เกอร์ [29 ก.ย. 2551]

ผมนึกย้อนไป 3-4 ปี การที่เมืองไทยมีปัญหาวุ่นวายภายใน หันมายึดหลัก เศรษฐกิจพอเพียง มากขึ้น มีวินัยทางการเงินมากขึ้น ตัวอย่างการยอมเก็บค่าน้ำมันมากขึ้นเพื่อล้างหนี้กองทุนน้ำมันเกือบแสนล้านบาท ก็เป็นตัวอย่างนโยบายที่จะเสียคะแนนนิยม เพราะดูเหมือนรัฐบาล "ขิงแก่" ไม่ช่วยเหลือราษฎร ซึ่งในความเป็นจริง นโยบายเอาใจประชาชนก็เป็นเพียงการสะสมภาระหนี้ ซึ่งรัฐบาลต้องชำระ หรือผู้ใช้น้ำมันยุคต่อมาต้องรับผิดชอบอยู่ดี ตั๋วเงินคลังของประเทศในยุครัฐบาลเศรษฐกิจพอเพียง ก็ลดลงจาก 2.5 แสนล้านบาท เหลือเพียง 1.5 แสนล้านบาท ทำให้เรามีวินัยทางการเงินและความมั่นคงทางการเงินดีขึ้นมาก เป็นความเสียสละอย่างแท้จริงที่มัวแต่ยึดวินัยเพื่อความมั่นคงทางการเงิน แต่หลายคนหลงไปวิจารณ์ว่าเป็นรัฐบาลที่ไม่มีผลงานถูกใจประชาชน !! …

เศรษฐกิจพอเพียง ไม่ได้แปลว่า ไม่ค้าขาย ไม่ขยายงาน แต่ต้องกระทำด้วยความพอดี ใช้เหตุผล และมีภูมิคุ้มกันต่อปัญหา โดยประกอบด้วยหลักคุณธรรม และความรอบคอบรอบรู้ เป็นรากฐานในการดำเนินการใดๆที่คนไทยน่าจะร่วมกันภาคภูมิใจและยึดถือปฏิบัติโดยทั่วกันอย่างแท้จริง

มนตรี ศรไพศาล

วันพฤหัสบดีที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

ผู้ลงนามและผู้สนับสนุนการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ นช.ทักษิณ จะต้องรับผิดชอบทางกฎหมายอย่างไร


9 กรกฎาคม 2552

สน.ลุมพินี 9 กรกฎาคม 2552
รายงานประจำวันลำดับ 5 เวลา 16:30 น.

ได้มีการแจ้งความให้ดำเนินคดีตามประมวลกฎหมายอาญากับกลุ่มผู้เกี่ยวข้องกับการถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ นช.ทักษิณดังนี้


- ให้ดำเนินคดีต่อผู้ลงนามถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ นช.ทักษิณ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 192 และ 309

มาตรา 192 ความผิดฐานช่วยด้วยประการใดให้ผู้ที่หลบหนีจากการคุมขังตามอำนาจของศาล เพื่อไม่ให้ถูกจับกุม ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

มาตรา 309 ความผิดฐานข่มขืนใจผู้อื่นให้กระทำการใด หรือจำยอมต่อสิ่งใด โดยทำให้กลัวว่าจะเกิดอันตรายต่อชีวิตร่างกาย เสรีภาพ ชื่อเสียงหรือทรัพย์สินของผู้ถูกข่มขืนใจนั้นเองหรือของผู้อื่น ถ้าความผิดได้กระทำโดยร่วมกระทำความผิดด้วยกันตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป ผู้กระทำต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

- ให้ดำเนินคดีต่อผู้โฆษณาเผยแพร่การลงนามถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ นช.ทักษิณตามมาตรา 85 ความผิดฐานโฆษณาหรือประกาศแก่บุคคลทั่วไปให้กระทำความผิด และความผิดนั้นมีกำหนดโทษไม่ต่ำกว่าหกเดือน ระวางโทษกึ่งหนึ่งของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดนั้น

- ให้ดำเนินคดีต่อผู้รวบรวมฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้ นช.ทักษิณตามมาตรา 86 ความผิดฐานช่วยเหลือ หรือให้ความสะดวกในการที่ผู้อื่นกระทำความผิด ก่อนหรือขณะกระทำ ความผิด ต้องระวางโทษสองในสามส่วนของโทษที่กำหนดไว้สำหรับความผิดที่สนับสนุนนั้น

เหตุผลที่การยื่นถวายฎีกาเป็นความผิดเนื่องจาก

ผู้แจ้งความในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพในการวิเคราะห์ ซึ่งได้วิเคราะห์การก่อกบฏล้มล้างการปกครองที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน มีหลักฐานจำนวนมากที่จะพิสูจน์ในศาลว่า ฎีกามีเนื้อความเป็นเท็จทั้งสิ้น ซึ่งอันที่จริงผู้นำในระดับโลกจำนวนมากทราบกลยุทธ์การหลอกลวงของกลุ่มบุคคลที่ดำเนินการนี้หมดแล้ว (จากบทความ A New Weapon Called LIES ของผู้แจ้งความ) ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้มีการปฏิเสธ นช.ทักษิณในสังคมโลกกันอย่างกว้างขวาง แต่การที่คนไทยจำนวนมากไม่ทราบเป็นเพราะขาดการเข้าถึงข้อมูล และขาดความรู้ประสบการณ์ในการวิเคราะห์

เมื่อฎีกามีเนื้อความเป็นเท็จ การยื่นถวายฎีกาจึงเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต
เมื่อเป็นการกระทำที่ไม่สุจริต ประชาชนจึงไม่มีสิทธิเสรีภาพที่จะกระทำ
ประชาชนจึงต้องรับผิดชอบตามกฎหมายเป็นรายบุคคล

ในฐานะผู้อ้างใช้สิทธิ มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบทางกฎหมายในการกระทำของตนเอง ในการเข้าร่วมกระบวนการก่อกบฏล้มล้างการปกครองและเรียกร้องสิทธิต่างๆโดยไม่สุจริต โดยจะอ้างว่าถูกหลอกลวงมิได้ เหตุเพราะสิทธิเป็นสิ่งควบคู่กับหน้าที่ หากจะใช้สิทธิอันมีผลกระทบกับชาติบ้านเมืองและสถาบันฯ ก็ต้องมีหน้าที่ใช้สมองและศึกษาให้ทราบว่าอะไรเป็นสิ่งผิดอะไรเป็นสิ่งถูกทั้งตามกฎหมายและหลักจริยธรรมสำนึกของความเป็นหน่วยสังคมที่ต้องอยู่ร่วมกันอย่างมีกฎเกณฑ์ ทั้งที่ตราขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรและที่เป็นข้อกำหนดซึ่งแม้ไม่ได้เขียนไว้แต่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปของสังคม ไม่สามารถเลือกปฏิบัติให้เกิดความเหลื่อมล้ำได้ รวมทั้งจะอ้างว่าไม่ทราบกฎหมายไม่ได้

ให้สังเกตข้อความท้ายฎีกาที่ว่า “ให้อ่านข้อความให้เข้าใจโดยละเอียด หากเห็นชอบและมีความสมัครใจ จึงลงนาม” ในส่วนนี้เป็นการโอนความรับผิด หมายความว่า ผู้จัดถวายฎีกาจะไม่รับผิดชอบในการที่ผู้ลงนามจะมาหลงเชื่อเนื้อความเท็จในฎีกา ทุกคนต้องรับผิดชอบเอาเองหากมีอะไรเกิดขึ้น

ตัวบุคคลหลักที่จัดถวายฎีกาทั้งหมด กำลังถูกดำเนินคดีข้อหาดูหมิ่นพระมหากษัตริย์เพื่อก่อการกบฏล้มล้างการปกครอง ผู้เข้าร่วมกระบวนการกับบุคคลกลุ่มนี้ กำลังถูกแจ้งความในข้อหาสมคบก่อการกบฏ ยกตัวอย่างเช่น กรรมการสมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทยที่เกี่ยวข้อง ระหว่างปี 2550-2552 ผู้เข้าร่วมลงนามถวายฎีกา มีโอกาสถูกพิจารณาว่าสมคบก่อการกบฏเช่นเดียวกัน

หมายความว่า นอกจากมาตรา 192, 309, 85, 86 แล้วแต่ความผิดที่กระทำแล้ว ยังอาจมีความผิดในสิ่งที่ผู้อื่นไปก่อ ตามมาตราที่เกี่ยวข้องกับการก่อกบฏ เช่น 113 (โทษประหารชีวิต หรือจำคุกตลอดชีวิต), 114 (ระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี), 116 (ระวางโทษจำคุกไม่เกินเจ็ดปี) ฯลฯ อีกด้วย

พึงระลึกอยู่เสมอว่า สิทธิเป็นสิ่งควบคู่กับหน้าที่


วันพฤหัสบดีที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2552

Luksna-FCCT case: first lesson to reveal "Freedom of Deceit" against "Freedom of Speech"


Luksna-FCCT case: on June 30, 2009 FCCT Thailand board was accused of committing lese majeste

As an information specialist and management system consultant working on a doctoral research, Luksna Kornsilpa detects the abuse of "Freedom of Speech" as a means for "Freedom of Deceit" realization.

In the world of uncontrolled information overflow, LIES with dishonest purposes are passed efficiently over the mass media channels. Some have the target to erode national security.

In Thailand, the effort to change country's foundation was announced purposely by treason leaders at FCCT. And a means to that change is through LIES. As traitors themselves have no proof of being capable national leader, they need to soil the existing foundation with LIES.

Among LIES to soil country foundation, lese majeste is most frequently used.

Surprisingly, FCCT board got involved in the LIES content fabrication and distribution!

As judicial process might not have access to the cases filed against traitors, as they have often been screened out at the upstream authorities; the case filed against FCCT should finally bring back all rejected cases directly to the judiciary.

When the case is analyzed in court, mass media around the world would realize how "Freedom of Deceit" is discriminated from "Freedom of Speech".

Mass media cry for rights without duties and responsibilities. This will be their first lesson that, in order to possess rights, ones need to show adequate duties and responsibilities.

And this is a part of the many duties of the information specialist called Luksna, in the effort to make world information cleaner.

Remark: Luksna Kornsilpa is the author of "The New Weapon Called LIES" article already distributed to many World Leaders.

วันพฤหัสบดีที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2551

“สีกากีเปื้อนเลือด” กี่กองร้อยก็ไม่มีประโยชน์ ถ้าจะไปยืนเฉยๆ

เมื่อสีกากีเป็นทาสหัวหน้าแก๊งเสื้อแดง ก็คงต้องพินอบพิเทาอาชญากรตลอดไปอย่างไร้ศักดิ์ศรี
ลักษณา กรณ์ศิลป
25 ธันวาคม 2551


สำหรับกรณีรัฐบาลใหม่จะถูกแก๊งเสื้อแดงปิดล้อมในวันแถลงนโยบาย พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า “นปช. ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่น่ามีปัญหา เพราะต่างก็หวังดีกับประเทศชาติ”

- ฆ่าทำร้ายประชาชนที่อุดร เพื่อไม่ให้รับฟังเรื่องนักการเมืองทักษิณทุจริตขายชาติ โดยตำรวจยืนดูเฉยๆ
- รุมฆ่าบิดาผู้ประกอบการวิทยุชุมชนที่เชียงใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่านักการเมืองกลุ่มทักษิณจะประชุม ครม. ได้อย่างราบรื่น โดยตำรวจยืนดูเฉยๆ
- ขว้างหินและน้ำกรดใส่ผู้ได้เป็นรัฐบาลใหม่แทนที่นักการเมืองกลุ่มทักษิณ รวมทั้งเอามีดจี้คุกคาม โดยตำรวจยืนดูเฉยๆ
ฯลฯ

ต้องโง่ขนาดไหน จึงจะไม่รู้ว่าแก๊งเสื้อแดงคืออาชญากร ต้องตาบอดขนาดไหนจึงจะไม่เห็นความพินอบพิเทาของตำรวจต่อแก๊งเสื้อแดง

เมื่อสีกากีเป็นทาสหัวหน้าแก๊งเสื้อแดง ก็คงต้องพินอบพิเทาอาชญากรตลอดไปอย่างไร้ศักดิ์ศรี


การที่ฝูงคนพกพาสิ่งที่ทำให้คนตายได้ มารวมตัวกันเพื่อ รุมประทุษร้ายต่อชีวิตทรัพย์สิน มันคือการกระทำของอาชญากรที่มีความอำมหิตในสันดาน แต่ตำรวจทหารระดับสูงพากันหน้ามืดตามัวยกระดับว่าคนกลุ่มนี้เป็นผู้ชุมนุม เป็นการเปิดทางสะดวกให้ฝูงโจรใช้เป็นวิธีแอบอ้างเพื่อยกโขยงกันไปคุกคามที่นั่นที่นี่ เข้าเข่นฆ่าทำร้ายประชาชน จนถึงขั้นเดือดร้อนแสนสาหัสได้ตามใจชอบ เป็นการทำลายความมั่นคงปลอดภัยของสังคมและประเทศชาติ ปัจจุบันยกระดับมาคุกคามจนถึงขั้นผู้บริหารรัฐบาลฝ่ายที่ตนต้องการแย่งชิงอำนาจ ซึ่งหากปล่อยไปก็จะยกระดับไปอีกเรื่อยๆ ตามที่กลุ่มทักษิณแสดงละครชี้นำไว้ในวันทักษิณโฟนอิน ซึ่งทั้งหมดนี้หากเป็นไปได้มันเป็นความผิดของทั้งตำรวจและทหารโดยตรง

ตามข่าว พล.ต.อ.พัชรวาทกล่าวต่อไปว่า “ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่หรือเวลาในการแถลงนโยบายหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่หากหลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือเหตุปะทะได้ก็เป็นเรื่องที่ดี”

พล.ต.อ.พัชรวาทจะให้รัฐบาลเลื่อนการทำงานเพื่อหลีกการปะทะกลุ่มอาชญากร?

ขอโทษที ถ้าผู้เขียนเป็นรัฐบาล พล.ต.อ.พัชรวาท จะไม่ต้องทำงานเป็นตำรวจอีกต่อไป


เอกสารอ้างอิง:

http://www.manager.co.th/Crime/ViewNews.spx?NewsID=9510000151583

“พัชรวาท” ทุ่มกำลังเกือบ 3 พันนาย ดูแลรัฐบาลแถลงนโยบาย

โดย ทีมข่าวอาชญากรรม
25 ธันวาคม 2551 14:54 น.

ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ทุ่มกำลังเกือบ 3,000 นาย ดูแลรัฐสภาในวันที่รัฐบาลแถลงนโยบาย ปัดกลับมานั่ง ผบ.ตร.ไม่เกี่ยวกับพี่ชาย ยันตลอดการรับราชการทำงานด้วยความบริสุทธิ์

วันนี้ (25 ธ.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผบ.ตร. กล่าวถึงมาตรการการรักษาความปลอดภัยในการที่ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี จะเข้าแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 29 ธ.ค.ว่า จากข้อมูลเบื้องต้นกลุ่มผู้ชุมนุมแนวประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) พบว่า จะมีการนัดรวมตัวกันตั้งวันที่ 28-30 ธ.ค.ซึ่งยังไม่แน่ชัด ซึ่งตำรวจได้เตรียมกำลังไว้เพื่อรักษาความปลอดภัยทั่วบริเวณทั้งภายในรัฐสภามี 8 กองร้อย โดยรอบ 6 กองร้อย และรอบนอกตั้งตรวจ 5 กองร้อย รวม 2,850 นาย

พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ทั้งนี้ ตำรวจได้กำหนดโซนชุมนุมให้กลุ่ม นปช.ซึ่งเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่น่ามีปัญหา เพราะต่างก็หวังดีกับประเทศชาติ ตำรวจพยายามพูดคุยเจรจากับแกนนำ ส่วนจะมีการเปลี่ยนแปลงสถานที่หรือเวลาในการแถลงนโยบายหรือไม่นั้น เป็นเรื่องของรัฐบาล แต่หากหลีกเลี่ยงความรุนแรงหรือเหตุปะทะได้ก็เป็นเรื่องที่ดี

ผู้สื่อข่าวถามว่า ประชาชนยังสงสัยการกลับมาทำหน้าที่ ผบ.ตร.ว่า เกี่ยวข้องกับการเมือง พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า การรับราชการเป็นเรื่องปกติเมื่อถูกคำสั่งให้ไปช่วยราชการได้ ก็สามารถกลับมาได้ ส่วน พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ชาย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมนั้น ก็พูดคุยกันตามปกติ แต่ไม่มีการพูดคุยกันในเรื่องนี้

ส่วนกรณีที่ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส อดีต ผบ.ตร.กล่าวหาว่า ทุจริต พล.ต.อ.พัชรวาท กล่าวว่า ตลอดการรับราชการยืนยันว่าทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ เชื่อว่า ทำงานทุกอย่างตรงไปตรงมาตามขั้นตอน และหวังดีกับประเทศชาติ

วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

Camouflage ในการชุมนุม

เมื่อมีผู้ต้องการให้การชุมนุมดูต่างไปจากความเป็นจริง

11 กันยายน 2551


Camouflage คือการปลอมตัวหรือพรางตา
ตาม เอกสารประกอบชุดที่ 1 ความประสงค์ของ Camouflage คือเพื่อกลบเกลื่อนรูปลักษณ์ภายนอก โดยทำให้ดูกลมกลืนกับสิ่งรอบข้าง เป็นผลให้สังเกตเห็นความแตกต่างได้ยาก กรณีที่ใช้ในทางทหาร เป็นไปเพื่อพรางตาไม่ให้ข้าศึกสังเกต มีการใช้สีและลวดลายบนเสื้อผ้าและหมวกให้เหมือนต้นไม้ ซึ่งมีการเปลี่ยนตามฤดูกาลอีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีการใช้สีและลวดลายบนยานพาหนะเช่นกัน

ใน เอกสารประกอบชุดที่ 2 จะเห็นวิธีการ Camouflage ของบรรดาสัตว์ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามสังเกตตนเอง เพื่อความอยู่รอด หรือเพื่อเข้าโจมตีทำร้ายอีกฝ่าย

การปลอมตัวหรือพรางตาจึงเป็นเทคนิคที่ใช้กันโดยทั่วไปในโลกนี้
สำหรับการชุมนุมพันธมิตร ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามคือรัฐบาลและบรรดาผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับรัฐบาล
การชุมนุมเป็นไปเพื่อสกัดกั้นการแก้รัฐธรรมนูญ การคอร์รัปชั่น และการผลาญทำลายชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาล และพวกพ้อง

ผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มที่เดือดร้อนจากการคอร์รัปชั่นของนักการเมือง มีความรักชาติและสถาบันที่เป็นองค์ประกอบหลักของชาติ และได้ศึกษามาพอที่จะมองเห็นแล้วว่า หนทางปกติในการแก้ไขปัญหา ไม่สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่จะได้รับผลกระทบเลวร้ายต่อไปในอนาคตคือลูกหลานของพวกเขาเอง

ดังนั้น ลักษณะร่วมของผู้เข้าชุมนุมส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้ คนวัยทำงาน ครอบครัว และนักศึกษา จึงไม่มีลักษณะกุ๊ย ชั่ว หรือไร้สติปัญญา (ดู เอกสารประกอบชุดที่ 3)

การชุมนุมอยู่ในลักษณะมีระบบระเบียบ มีสันติ มีความเป็นอารยะ ที่พิสูจน์มาแล้วถึงร้อยกว่าวัน โดยไม่ไม่มีการพกอาวุธเพราะเป็นที่ชัดเจนว่าหากถูกตรวจจะได้รับข้อหา เป็นเหตุให้การชุมนุมต้องสิ้นสุดลง จึงมีติดตัวได้เฉพาะเครื่องใช้ไม้สอยที่พอจะอาศัยป้องกันอันตรายเป็นรายบุคคล เช่น ร่ม อุปกรณ์กีฬา

เมื่อฝ่ายตรงข้ามต้องการให้การชุมนุมสลาย มีวิธีเดียวก็คือ ต้องทำให้การชุมนุมผิดกฎหมาย

ในเมื่อผู้เข้าชุมนุมไม่กระทำผิดกฎหมาย การจะสลายการชุมนุมโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมความดีงามใดๆ ก็คือต้องปลอมตัวเข้าไปกระทำการแทนแล้วยกความผิดให้

… ใส่อาวุธเข้าไปแล้วตั้งข้อหาซ่องโจร จนถึงกบฏ ... ใส่ความรุนแรงเข้าไปแล้วตั้งข้อหาก่อความไม่สงบ …

แค่ให้พวกกล้าทำชั่วผูกผ้าสีเหลือง ใส่หมวกเหลือง ใส่เสื้อเหลือง หรือไม่ต้องใส่สัญลักษณ์ใดๆ เข้าไปทำท่าเป็นผู้ชุมนุม ก็เป็นการ Camouflage ที่ทั้งต้นทุนถูกและง่ายดาย ซึ่งมีผู้ขานรับที่จะมองเห็นบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ชุมนุมกันมากมาย

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเน้นย้ำว่า ในเมื่อเป็นที่ทราบกันแล้ว ว่าการใช้วิธี Camouflage เข้าไปปะปนในที่ชุมนุมเพื่อกระทำผิดกฎหมายแล้วยัดเยียดข้อหา สามารถทำได้โดยง่าย การยึดสัญลักษณ์ที่ใช้ทำ Camouflage เป็นสิ่งบ่งชี้ผู้ชุมนุมเวลาตรวจพบกรณีผิดกฎหมาย จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาบิดเบือนกลั่นแกล้งโดยตรง (อ่าน เอกสารประกอบชุดที่ 4-10 เพื่อศึกษาลักษณะการบิดเบือนกลั่นแกล้ง)

ที่เลวร้ายที่สุดคือ กรณีฆ่าคนตาย อาจเป็นการวางแผนล่วงหน้าโดยทั้งฝ่ายฆ่าและฝ่ายถูกฆ่าได้รับการจ้างวานด้วยหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งฝ่ายฆ่าใช้วิธีการ Camouflage เพื่อให้เกิดการยัดข้อหาให้กับผู้ชุมนุม

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 1 การพรางตาในทางทหาร
http://en.wikipedia.org/wiki/Military_camouflage
… the intent of camouflage is to disrupt an outline by merging it with the surroundings, making a harder target to spot or hit …

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 2 การพรางตาของสัตว์
http://animals.howstuffworks.com/animal-facts/animal-camouflage-pictures.htm

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 3 ลักษณะร่วมของผู้ชุมนุม ไม่มีลักษณะกุ๊ย-ชั่ว-ไร้สติปัญญา และไม่มีอาวุธ

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 4 ลักษณะร่วมของฝ่ายรัฐบาล มีลักษณะกุ๊ย-ชั่ว-ไร้สติปัญญา และมีอาวุธ

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 5 ในช่วงก่อนความพยายามสลายการชุมนุม มีกลุ่มคนลักษณะแตกต่างจากผู้ชุมนุมแทรกซึมเข้าไปในการชุมนุมเป็นจำนวนมาก (การสังเกตความแตกต่างใช้หลายเงื่อนไขร่วมกัน)
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 6 ลักษณะภาพข่าวตั้งใจเน้นย้ำบางความหมาย
นสพ. ข่าวสด 4 กันยายน 2551

คำอธิบายภาพ:

ไทยทำไทย (ภาพซ้าย)
นปช.รายหนึ่งถูกอาวุธ ลงไปกองกับพื้น ท่ามกลางวงล้อมของฝ่ายพันธมิตร ระหว่างการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย
นองเลือด (ภาพขวา)
นปช.อีกรายหนึ่งที่ถูกทำร้ายเลือดอาบสลบเหมือด ระหว่างเหตุการณ์จลาจลนองเลือด ... อันเป็นที่มาของการประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน

Comment:

การแสดงภาพผู้แต่งกายที่มีส่วนของสีเหลืองกำลังจัดการคนแต่งกายสีแดงถึงสองภาพในหนึ่งหน้า นสพ. เน้นย้ำให้เกิดการซึมซับว่าพันธมิตรเป็นผู้เข้าทำร้าย นปช.อย่าง โหดร้ายมาก ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี เช่น คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวว่า “การศึกต้องมีมนุษยธรรม … เมื่อศัตรูคนหนึ่งหมดสภาพที่จะสู้รบก็ต้องไว้ชีวิตหรือช่วยพยาบาลถ้าทำได้ อย่าทำร้ายอย่างเมามันทารุณดังที่เห็นในภาพข่าว”

ผู้ที่ซื่อหรืออ่อนประสบการณ์เกินไปจะไม่เฉลียวใจว่า ในความเป็นจริงของโลกที่มี Camouflage เป็นปกติวิสัย ผู้แต่งกายที่มีส่วนของสีเหลืองไม่จำเป็นต้องใช่พันธมิตร วิธีใช้ข้อมูลต้องตั้งข้อสงสัยให้เป็น เช่น

ข้อสงสัยในภาพซ้าย
- ข่าวระบุว่าบริเวณเป็นวงล้อมของฝ่ายพันธมิตร แต่ปรากฏว่าด้านหลังมีผู้โพกผ้าสีแดงยืนเรียงราย แสดงว่าน่าจะเป็นวงล้อมของฝ่าย นปช.มากกว่า
- ลักษณะการยืนเหยียบผู้ที่ฟุบหน้า แสดงท่าเหมือนภาพตำรวจเหยียบประชาชน รวมทั้งยังอุตส่าห์มีไม้สองอันมาแสดงอยู่ด้วย ตาม เอกสารประกอบชุดที่ 7 คล้ายจะเป็นการแสดงเพื่อใช้แก้ภาพพจน์ของฝ่ายรัฐบาลว่า อย่างไรเสียก็เลวพอกัน แต่ความที่เหมือนจนเกินกว่าจะเป็นการบังเอิญ ทำให้ดูแล้วเป็นการสร้างภาพสถานการณ์ด้วยความคิดอ่านที่ค่อนข้างตื้น
- ลักษณะทั้งสามคนที่ยืนเห็นหน้า ไม่เหมือนลักษณะร่วมของผู้ชุมนุมใน เอกสารประกอบชุดที่ 3 แต่เหมือนไปทางอีกฝ่าย ดังแสดงใน เอกสารประกอบชุดที่ 4 และ 5
ข้อสงสัยในทั้งภาพซ้ายและภาพขวา
- ลักษณะการตีและเหยียบรวมทั้งลักษณะการหิ้วแกมลากผู้บาดเจ็บอย่างโหดร้าย ผู้กระทำที่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายตามปกติจะไม่กล้าโชว์ตัวหราคู่กับการกระทำป่าเถื่อนให้ใครบันทึกภาพ เพราะจะเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี การที่เบื้องหน้าเป็นตากล้อง** แล้วยังกล้าแอ๊คท่าโหดร้าย ทำให้ประเมินได้ว่า ผู้กระทำไม่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายตามปกติ ทำให้น่าสงสัยว่าจะมีการตกลงให้แสดงฉากนี้

** ใน เอกสารประกอบชุดที่ 8 จะเห็นว่าจำนวนตากล้องไม่ได้มีเพียงแค่ 1-2 คน แต่มีเป็นทีม
ข้อสงสัยทั้งหมดสนับสนุนข้อสรุปว่า มีการใช้ Camouflage ในการชุมนุมและในการสร้างเหตุรุนแรง ซึ่งผลของเหตุรุนแรงมีคนตายนั้น อาจเป็นการกำหนดให้กลุ่มที่ปลอมตัวเป็นผู้ชุมนุมลงมือฆ่าเหยื่อที่จ้างวานมา เพื่อป้ายความผิดให้ผู้ชุมนุมก็มีความเป็นไปได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามผู้ชุมนุมมีเหตุจูงใจโดยตรงอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 7
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 8

Comment:

ภาพขวาเป็นภาพแอ๊คชั่นขึงขังน่ากลัว แต่ภาพซ้ายแสดงลักษณะเหยาะแหยะไม่ค่อยมีแรงประกอบกับสีหน้าจืดๆเบื่อๆ สองภาพทำท่าเดียวกันแต่คนสลับที่กันและระดับพลังงานต่างกัน ลักษณะจึงสอดคล้องกับการโพสต์แอ๊คชั่นให้ถ่ายภาพมากกว่าจะเป็นเหตุการณ์จริง ด้านหลังของภาพซ้ายเห็นกลุ่มช่างภาพจำนวนมากรอถ่ายอยู่ ทำให้น่าสงสัยว่าทีมถ่ายภาพน่าจะทราบเกี่ยวกับการโพสต์ท่าดังกล่าวเป็นอย่างดี

การแสดงภาพน่ากลัวมีผลสองด้าน ด้านแรกเป็นการข่มขวัญผู้ชุมนุม ด้วยความประสงค์ที่จะลดจำนวนผู้มาชุมนุม เพื่อให้สลายการชุมนุมได้ในที่สุด แต่ผลอีกด้านหนึ่งที่เกิดร่วมด้วยคือ ทำให้เห็นว่าฝ่ายเสื้อแดงซึ่งรู้จักกันในนามของ นปช. เป็นกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งส่อเจตนาร้ายในการรุกเข้าไปหาฝ่ายผู้ชุมนุมซึ่งมีประวัติการชุมนุมที่สันติอหิงสาไร้อาวุธมาเป็นเวลายาวนาน แต่เนื่องจากสื่อส่วนใหญ่ถูกภาครัฐครอบงำทำ News blackout ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผลด้านนี้จึงเป็นที่คาดว่าจะถูกกลบให้หายไปโดยง่าย
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 9
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=11/Sep/2551&news_id=163777&cat_id=400
ว่ายทวนน้ำ 11 กันยายน 2551

... ที่ตายไปคนเดียวและร่อแร่อีกสอง เป็นพวก นปช. ด้วยฝีมือ (ปืน) และฝีตีนการ์ดพันธมิตรฯ นะครับ ...

… BBC ถ่ายคลิปเผยแพร่ทั่วโลกเห็นชัดว่า การ์ดพันธมิตรฯ ชักปืนออกมาซัลโว นปช.

------------------------------------------------------------------
ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2551

... ขณะที่ พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้ได้นำภาพวีดีโอ ที่ตำรวจ191 สามารถจับภาพผู้ก่อเหตุใช้ปืนยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ไปให้เจ้าหน้าที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร (ทว.) สเกตช์ภาพ จากนั้นจะนำเสนอให้ พล.ต.ต.ลิขิต ที่รับผิดชอบคดีนี้ พิจารณาว่าจะมีการขออนุมัติหมายจับได้หรือไม่ พร้อมกันนี้ จะแจกภาพสเกตช์ให้ฝ่ายสืบสวนแต่ละ สน.ตรวจสอบบุคคลในภาพพร้อมติดตามตัวต่อไป
พ.ต.อ.วิบูลยุทธ กล่าวต่อว่า ส่วนที่เกิดการปะทะทั้ง 2 ฝ่าย จนมีผู้ได้รับบาดจ็บนั้น ขณะนี้ได้ประสานสื่อมวลชนเพื่อขอทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวมาประมวลผลให้ได้รายละเอียดมากที่สุด และตรวจสอบว่ามีใครอยู่ในที่เกิดเหตุ หรือใครทำอะไรบ้าง เพื่อหากภาพที่ปรากฏว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงและทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้รวบรวมพยานหลักฐานและติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป ส่วนภาพที่ปรากฏว่ามีการดึงแขนขาผู้บาดเจ็บนั้นจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไรกันแน่ ...

------------------------------------------------------------------
Comment:

คอลัมน์ในสื่อฉบับหนึ่งอ้างอิงเสร็จสรรพว่าคนลงมือฆ่าทำร้ายผู้บาดเจ็บเป็นพันธมิตร ในขณะที่ข่าวในสื่ออีกฉบับหนึ่งระบุว่าตำรวจยังอยู่ในขั้นตอนรวบรวมข้อมูล หมายถึงยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ แสดงภาพรวมว่ามีสื่อถูกใช้ในการบิดเบือนข้อมูลที่ออกสู่สังคม

จากการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูง ว่ามีการใช้วิธี Camouflage พรางตา จึงไม่สามารถสรุปความเป็นพันธมิตรหรือความเป็น นปช.ด้วยการมองลักษณะภายนอก การด่วนสรุปว่าคนลงมือทำร้ายผู้บาดเจ็บเป็นฝ่ายใดจึงไม่สามารถเชื่อถือได้
การกล่าวโดยไม่มีความเป็นจริงสนับสนุนอันเป็นผลทำให้ผู้รับข้อมูลเกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นการทำให้สังคมแตกแยก ซึ่งสื่อมวลชนที่ดีเมื่อรู้ตัวเมื่อใด จะต้องหลีกเลี่ยงที่จะกระทำในทันที
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 10
Comment:

ในกรณีมีการใช้ Camouflage เพื่อสร้างข้อหายัดเยียดให้ผู้ชุมนุม และในกรณีสังคมค้นพบว่าภายใต้รัฐบาลนี้ ตำรวจได้ถูกกำหนดให้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่ายกุ๊ยอันธพาลในความพยายามสลายผู้ชุมนุมและควบคุมประชาชนทั้งที่กรุงเทพและอุดรธานี ตำรวจภายใต้รัฐบาลนี้น่าจะหมดเกียรติยศศักดิ์ศรี เพราะสิ่งที่ทำคือหน้าที่ขี้ข้ามาเฟียล้วนๆ

หากตำรวจไม่สามารถรับประกันการทำงานที่ได้มาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม เราก็คงคาดเดาคำพูดจากภาพได้ดังนี้

“ที่เห็นข้างหน้านี้คือหลักฐานครับท่าน”
“อืมม์ ดูคุ้นๆ ... อันไหนไม่ใช่ของเรา?”

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

ประโยคประวัติศาสตร์ศาลอาญาที่ต่างชาติพากันอ้างอิง

ผู้นำต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ข้อยกเว้น

9 สิงหาคม 2551



ในการบรรยายสำหรับบุคลากรที่เป็นกำลังของชาติ ผู้เขียนมักสอดแทรกแนวคิดสำคัญเพื่อให้นำไปยึดถือปฏิบัติกันอยู่เสมอ

... ผู้นำต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ข้อยกเว้น …

ซึ่งสอดคล้องกับที่ผู้พิพากษาศาลอาญาได้อบรมจำเลยในคดีภรรยานายกรัฐมนตรีโกงภาษีซึ่งเป็นข่าวแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยประโยคดังกล่าวได้กลายเป็น ประโยคประวัติศาสตร์ที่ต่างชาติพากันอ้างอิง ... ขอยกตัวอย่างจากเว็บไซต์ของหลายๆประเทศทั่วโลก มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้

http://www.brisbanetimes.com.au/news/world/last-days-of-pearls-and-poses/2008/07/31/1217097432932.html1217097432932.html


"The defendants are high-profile and wealthy citizens," the judge said. Pojaman's husband "was the leader of the country and she is obliged to pay taxes as a model for society".
"But the defendants lied, cheated and conspired to evade taxes, which is regarded as a serious crime,"
the judge said.

http://www.bt.com.bn/en/asia_news/2008/08/01/thaksins_wife_gets_3_year_jail_time_over_tax_evasion

"The second defendant was not only supposed to behave herself as a good citizen, she was also meant to be a good role model as the wife of the prime minister," the judge said in the televised ruling.

http://www2.dw-world.de/southasia/SoutheastAsia/1.234322.1.html

In a landmark decision in Thailand, a criminal court has sentenced the wife of the former Prime Minister, Thaksin Shianwatra, to three years jail for tax evasion. The decision marks a major step in the Thai judiciary’s role in dealing with the country’s political crisis and corruption charges against Thaksin’s former government ...

The judge said the three were of high economic and social status and should be setting an example to society.

http://www.pressandjournal.co.uk/Article.aspx/766675?UserKey=0
“The three defendants have high economic and social status,” said judge Pramote Pipatpramote, adding they should have aspired to set an example for society.
“But, they were working together to avoid taxes, even though the taxes amounted to little compared to their assets.”


http://www.siiaonline.org/?q=programmes/insights/thailand-thaksin%E2%80%99s-wife-sentenced-jail


The court reprimanded Pojaman in particular, saying that with her high economic, social and political status - especially her status as wife of the then premier - she should have acted as a good example to society.

http://www.telegraph.co.uk/sport/football/leagues/premierleague/mancity/2481586/City-owner-Shinawatra-Thaskins-wife-in-guilty-verdict----football.html

"The second defendant [Pojaman] was not only supposed to behave herself as a good citizen, she was also meant to be a good role model as the wife of the prime minister."

http://www.theaustralian.news.com.au/story/0,25197,24106841-2703,00.html

“The defendants are high-profile and wealthy citizens,” the judge said. Ms Pojaman's husband was the leader of the country and she is obligated to pay taxes as a model for society”.

“But the defendants lied, cheated and conspired to evade taxes, which is regarded as a serious crime,” the judge said.

http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1828156,00.html

The legal noose tightened around former Thailand Prime Minister Thaksin Shinawatra this week when, on July 31, the nation's Criminal Court found his wife Pojaman Shinawatra guilty of tax evasion, sentencing her to three years in prison in a decision that will likely increase already sharp political tensions in the country

....

In a Bangkok courtroom, Thaksin and his family sat with somber expressions throughout proceedings as the judge reprimanded Pojaman, saying that her high economic, social and political status should have compelled her to set a better example for society.

Prior to the 2006 coup, political cases rarely made their way through Thailand's justice system. But that is changing. Earlier this month, three of Thaksin's lawyers were jailed for attempting to bribe court officials of the Constitutional Court by handing them the equivalent of $59,000 in a pastry bag as a gift.

...

How this week's verdict will play out in rural Thailand, where Thaksin enjoys his greatest support, remains to be seen. Last week, violence broke out in two northeastern provinces when pro-government groups attacked anti-government demonstrators as police looked on. Dozens were injured, prompting civil rights groups, academics and opposition politicians to demand the government protect its opponents' right to peacefully protest.