วันเสาร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2551

Camouflage ในการชุมนุม

เมื่อมีผู้ต้องการให้การชุมนุมดูต่างไปจากความเป็นจริง

11 กันยายน 2551


Camouflage คือการปลอมตัวหรือพรางตา
ตาม เอกสารประกอบชุดที่ 1 ความประสงค์ของ Camouflage คือเพื่อกลบเกลื่อนรูปลักษณ์ภายนอก โดยทำให้ดูกลมกลืนกับสิ่งรอบข้าง เป็นผลให้สังเกตเห็นความแตกต่างได้ยาก กรณีที่ใช้ในทางทหาร เป็นไปเพื่อพรางตาไม่ให้ข้าศึกสังเกต มีการใช้สีและลวดลายบนเสื้อผ้าและหมวกให้เหมือนต้นไม้ ซึ่งมีการเปลี่ยนตามฤดูกาลอีกด้วย นอกจากนั้น ยังมีการใช้สีและลวดลายบนยานพาหนะเช่นกัน

ใน เอกสารประกอบชุดที่ 2 จะเห็นวิธีการ Camouflage ของบรรดาสัตว์ เพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามสังเกตตนเอง เพื่อความอยู่รอด หรือเพื่อเข้าโจมตีทำร้ายอีกฝ่าย

การปลอมตัวหรือพรางตาจึงเป็นเทคนิคที่ใช้กันโดยทั่วไปในโลกนี้
สำหรับการชุมนุมพันธมิตร ฝ่ายที่อยู่ตรงข้ามคือรัฐบาลและบรรดาผู้มีผลประโยชน์ร่วมกับรัฐบาล
การชุมนุมเป็นไปเพื่อสกัดกั้นการแก้รัฐธรรมนูญ การคอร์รัปชั่น และการผลาญทำลายชาติเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของนักการเมืองที่ได้เป็นรัฐบาล และพวกพ้อง

ผู้ชุมนุมเป็นกลุ่มที่เดือดร้อนจากการคอร์รัปชั่นของนักการเมือง มีความรักชาติและสถาบันที่เป็นองค์ประกอบหลักของชาติ และได้ศึกษามาพอที่จะมองเห็นแล้วว่า หนทางปกติในการแก้ไขปัญหา ไม่สามารถใช้ได้ในสถานการณ์ที่เผชิญอยู่ ซึ่งจะทำให้ผู้ที่จะได้รับผลกระทบเลวร้ายต่อไปในอนาคตคือลูกหลานของพวกเขาเอง

ดังนั้น ลักษณะร่วมของผู้เข้าชุมนุมส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีรายได้ คนวัยทำงาน ครอบครัว และนักศึกษา จึงไม่มีลักษณะกุ๊ย ชั่ว หรือไร้สติปัญญา (ดู เอกสารประกอบชุดที่ 3)

การชุมนุมอยู่ในลักษณะมีระบบระเบียบ มีสันติ มีความเป็นอารยะ ที่พิสูจน์มาแล้วถึงร้อยกว่าวัน โดยไม่ไม่มีการพกอาวุธเพราะเป็นที่ชัดเจนว่าหากถูกตรวจจะได้รับข้อหา เป็นเหตุให้การชุมนุมต้องสิ้นสุดลง จึงมีติดตัวได้เฉพาะเครื่องใช้ไม้สอยที่พอจะอาศัยป้องกันอันตรายเป็นรายบุคคล เช่น ร่ม อุปกรณ์กีฬา

เมื่อฝ่ายตรงข้ามต้องการให้การชุมนุมสลาย มีวิธีเดียวก็คือ ต้องทำให้การชุมนุมผิดกฎหมาย

ในเมื่อผู้เข้าชุมนุมไม่กระทำผิดกฎหมาย การจะสลายการชุมนุมโดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมความดีงามใดๆ ก็คือต้องปลอมตัวเข้าไปกระทำการแทนแล้วยกความผิดให้

… ใส่อาวุธเข้าไปแล้วตั้งข้อหาซ่องโจร จนถึงกบฏ ... ใส่ความรุนแรงเข้าไปแล้วตั้งข้อหาก่อความไม่สงบ …

แค่ให้พวกกล้าทำชั่วผูกผ้าสีเหลือง ใส่หมวกเหลือง ใส่เสื้อเหลือง หรือไม่ต้องใส่สัญลักษณ์ใดๆ เข้าไปทำท่าเป็นผู้ชุมนุม ก็เป็นการ Camouflage ที่ทั้งต้นทุนถูกและง่ายดาย ซึ่งมีผู้ขานรับที่จะมองเห็นบุคคลเหล่านี้เป็นผู้ชุมนุมกันมากมาย

บทความนี้เขียนขึ้นเพื่อเน้นย้ำว่า ในเมื่อเป็นที่ทราบกันแล้ว ว่าการใช้วิธี Camouflage เข้าไปปะปนในที่ชุมนุมเพื่อกระทำผิดกฎหมายแล้วยัดเยียดข้อหา สามารถทำได้โดยง่าย การยึดสัญลักษณ์ที่ใช้ทำ Camouflage เป็นสิ่งบ่งชี้ผู้ชุมนุมเวลาตรวจพบกรณีผิดกฎหมาย จึงเป็นการกระทำที่มีเจตนาบิดเบือนกลั่นแกล้งโดยตรง (อ่าน เอกสารประกอบชุดที่ 4-10 เพื่อศึกษาลักษณะการบิดเบือนกลั่นแกล้ง)

ที่เลวร้ายที่สุดคือ กรณีฆ่าคนตาย อาจเป็นการวางแผนล่วงหน้าโดยทั้งฝ่ายฆ่าและฝ่ายถูกฆ่าได้รับการจ้างวานด้วยหน่วยงานเดียวกัน ซึ่งฝ่ายฆ่าใช้วิธีการ Camouflage เพื่อให้เกิดการยัดข้อหาให้กับผู้ชุมนุม

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 1 การพรางตาในทางทหาร
http://en.wikipedia.org/wiki/Military_camouflage
… the intent of camouflage is to disrupt an outline by merging it with the surroundings, making a harder target to spot or hit …

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 2 การพรางตาของสัตว์
http://animals.howstuffworks.com/animal-facts/animal-camouflage-pictures.htm

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 3 ลักษณะร่วมของผู้ชุมนุม ไม่มีลักษณะกุ๊ย-ชั่ว-ไร้สติปัญญา และไม่มีอาวุธ

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 4 ลักษณะร่วมของฝ่ายรัฐบาล มีลักษณะกุ๊ย-ชั่ว-ไร้สติปัญญา และมีอาวุธ

-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 5 ในช่วงก่อนความพยายามสลายการชุมนุม มีกลุ่มคนลักษณะแตกต่างจากผู้ชุมนุมแทรกซึมเข้าไปในการชุมนุมเป็นจำนวนมาก (การสังเกตความแตกต่างใช้หลายเงื่อนไขร่วมกัน)
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 6 ลักษณะภาพข่าวตั้งใจเน้นย้ำบางความหมาย
นสพ. ข่าวสด 4 กันยายน 2551

คำอธิบายภาพ:

ไทยทำไทย (ภาพซ้าย)
นปช.รายหนึ่งถูกอาวุธ ลงไปกองกับพื้น ท่ามกลางวงล้อมของฝ่ายพันธมิตร ระหว่างการปะทะกันของทั้งสองฝ่าย
นองเลือด (ภาพขวา)
นปช.อีกรายหนึ่งที่ถูกทำร้ายเลือดอาบสลบเหมือด ระหว่างเหตุการณ์จลาจลนองเลือด ... อันเป็นที่มาของการประกาศใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน

Comment:

การแสดงภาพผู้แต่งกายที่มีส่วนของสีเหลืองกำลังจัดการคนแต่งกายสีแดงถึงสองภาพในหนึ่งหน้า นสพ. เน้นย้ำให้เกิดการซึมซับว่าพันธมิตรเป็นผู้เข้าทำร้าย นปช.อย่าง โหดร้ายมาก ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ดี เช่น คอลัมน์ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งกล่าวว่า “การศึกต้องมีมนุษยธรรม … เมื่อศัตรูคนหนึ่งหมดสภาพที่จะสู้รบก็ต้องไว้ชีวิตหรือช่วยพยาบาลถ้าทำได้ อย่าทำร้ายอย่างเมามันทารุณดังที่เห็นในภาพข่าว”

ผู้ที่ซื่อหรืออ่อนประสบการณ์เกินไปจะไม่เฉลียวใจว่า ในความเป็นจริงของโลกที่มี Camouflage เป็นปกติวิสัย ผู้แต่งกายที่มีส่วนของสีเหลืองไม่จำเป็นต้องใช่พันธมิตร วิธีใช้ข้อมูลต้องตั้งข้อสงสัยให้เป็น เช่น

ข้อสงสัยในภาพซ้าย
- ข่าวระบุว่าบริเวณเป็นวงล้อมของฝ่ายพันธมิตร แต่ปรากฏว่าด้านหลังมีผู้โพกผ้าสีแดงยืนเรียงราย แสดงว่าน่าจะเป็นวงล้อมของฝ่าย นปช.มากกว่า
- ลักษณะการยืนเหยียบผู้ที่ฟุบหน้า แสดงท่าเหมือนภาพตำรวจเหยียบประชาชน รวมทั้งยังอุตส่าห์มีไม้สองอันมาแสดงอยู่ด้วย ตาม เอกสารประกอบชุดที่ 7 คล้ายจะเป็นการแสดงเพื่อใช้แก้ภาพพจน์ของฝ่ายรัฐบาลว่า อย่างไรเสียก็เลวพอกัน แต่ความที่เหมือนจนเกินกว่าจะเป็นการบังเอิญ ทำให้ดูแล้วเป็นการสร้างภาพสถานการณ์ด้วยความคิดอ่านที่ค่อนข้างตื้น
- ลักษณะทั้งสามคนที่ยืนเห็นหน้า ไม่เหมือนลักษณะร่วมของผู้ชุมนุมใน เอกสารประกอบชุดที่ 3 แต่เหมือนไปทางอีกฝ่าย ดังแสดงใน เอกสารประกอบชุดที่ 4 และ 5
ข้อสงสัยในทั้งภาพซ้ายและภาพขวา
- ลักษณะการตีและเหยียบรวมทั้งลักษณะการหิ้วแกมลากผู้บาดเจ็บอย่างโหดร้าย ผู้กระทำที่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายตามปกติจะไม่กล้าโชว์ตัวหราคู่กับการกระทำป่าเถื่อนให้ใครบันทึกภาพ เพราะจะเป็นหลักฐานในการดำเนินคดี การที่เบื้องหน้าเป็นตากล้อง** แล้วยังกล้าแอ๊คท่าโหดร้าย ทำให้ประเมินได้ว่า ผู้กระทำไม่อยู่ภายใต้การบังคับใช้กฎหมายตามปกติ ทำให้น่าสงสัยว่าจะมีการตกลงให้แสดงฉากนี้

** ใน เอกสารประกอบชุดที่ 8 จะเห็นว่าจำนวนตากล้องไม่ได้มีเพียงแค่ 1-2 คน แต่มีเป็นทีม
ข้อสงสัยทั้งหมดสนับสนุนข้อสรุปว่า มีการใช้ Camouflage ในการชุมนุมและในการสร้างเหตุรุนแรง ซึ่งผลของเหตุรุนแรงมีคนตายนั้น อาจเป็นการกำหนดให้กลุ่มที่ปลอมตัวเป็นผู้ชุมนุมลงมือฆ่าเหยื่อที่จ้างวานมา เพื่อป้ายความผิดให้ผู้ชุมนุมก็มีความเป็นไปได้ เพราะฝ่ายตรงข้ามผู้ชุมนุมมีเหตุจูงใจโดยตรงอยู่แล้ว
-------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 7
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 8

Comment:

ภาพขวาเป็นภาพแอ๊คชั่นขึงขังน่ากลัว แต่ภาพซ้ายแสดงลักษณะเหยาะแหยะไม่ค่อยมีแรงประกอบกับสีหน้าจืดๆเบื่อๆ สองภาพทำท่าเดียวกันแต่คนสลับที่กันและระดับพลังงานต่างกัน ลักษณะจึงสอดคล้องกับการโพสต์แอ๊คชั่นให้ถ่ายภาพมากกว่าจะเป็นเหตุการณ์จริง ด้านหลังของภาพซ้ายเห็นกลุ่มช่างภาพจำนวนมากรอถ่ายอยู่ ทำให้น่าสงสัยว่าทีมถ่ายภาพน่าจะทราบเกี่ยวกับการโพสต์ท่าดังกล่าวเป็นอย่างดี

การแสดงภาพน่ากลัวมีผลสองด้าน ด้านแรกเป็นการข่มขวัญผู้ชุมนุม ด้วยความประสงค์ที่จะลดจำนวนผู้มาชุมนุม เพื่อให้สลายการชุมนุมได้ในที่สุด แต่ผลอีกด้านหนึ่งที่เกิดร่วมด้วยคือ ทำให้เห็นว่าฝ่ายเสื้อแดงซึ่งรู้จักกันในนามของ นปช. เป็นกลุ่มติดอาวุธ ซึ่งส่อเจตนาร้ายในการรุกเข้าไปหาฝ่ายผู้ชุมนุมซึ่งมีประวัติการชุมนุมที่สันติอหิงสาไร้อาวุธมาเป็นเวลายาวนาน แต่เนื่องจากสื่อส่วนใหญ่ถูกภาครัฐครอบงำทำ News blackout ได้ครั้งแล้วครั้งเล่า ผลด้านนี้จึงเป็นที่คาดว่าจะถูกกลบให้หายไปโดยง่าย
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 9
http://www.thaipost.net/index.asp?bk=thaipost&iDate=11/Sep/2551&news_id=163777&cat_id=400
ว่ายทวนน้ำ 11 กันยายน 2551

... ที่ตายไปคนเดียวและร่อแร่อีกสอง เป็นพวก นปช. ด้วยฝีมือ (ปืน) และฝีตีนการ์ดพันธมิตรฯ นะครับ ...

… BBC ถ่ายคลิปเผยแพร่ทั่วโลกเห็นชัดว่า การ์ดพันธมิตรฯ ชักปืนออกมาซัลโว นปช.

------------------------------------------------------------------
ทีมข่าวอาชญากรรม ผู้จัดการออนไลน์ 10 กันยายน 2551

... ขณะที่ พ.ต.อ.วิบูลยุทธ สันทัดเวช ผกก.สน.นางเลิ้ง กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้ได้นำภาพวีดีโอ ที่ตำรวจ191 สามารถจับภาพผู้ก่อเหตุใช้ปืนยิงใส่กลุ่มผู้ชุมนุม ไปให้เจ้าหน้าที่กองทะเบียนประวัติอาชญากร (ทว.) สเกตช์ภาพ จากนั้นจะนำเสนอให้ พล.ต.ต.ลิขิต ที่รับผิดชอบคดีนี้ พิจารณาว่าจะมีการขออนุมัติหมายจับได้หรือไม่ พร้อมกันนี้ จะแจกภาพสเกตช์ให้ฝ่ายสืบสวนแต่ละ สน.ตรวจสอบบุคคลในภาพพร้อมติดตามตัวต่อไป
พ.ต.อ.วิบูลยุทธ กล่าวต่อว่า ส่วนที่เกิดการปะทะทั้ง 2 ฝ่าย จนมีผู้ได้รับบาดจ็บนั้น ขณะนี้ได้ประสานสื่อมวลชนเพื่อขอทั้งภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวมาประมวลผลให้ได้รายละเอียดมากที่สุด และตรวจสอบว่ามีใครอยู่ในที่เกิดเหตุ หรือใครทำอะไรบ้าง เพื่อหากภาพที่ปรากฏว่าเป็นการกระทำที่รุนแรงและทำให้มีผู้ได้รับบาดเจ็บจะได้รวบรวมพยานหลักฐานและติดตามตัวมาดำเนินคดีต่อไป ส่วนภาพที่ปรากฏว่ามีการดึงแขนขาผู้บาดเจ็บนั้นจำเป็นต้องตรวจสอบอย่างละเอียดอีกครั้งว่าข้อเท็จจริงเป็นเช่นไรกันแน่ ...

------------------------------------------------------------------
Comment:

คอลัมน์ในสื่อฉบับหนึ่งอ้างอิงเสร็จสรรพว่าคนลงมือฆ่าทำร้ายผู้บาดเจ็บเป็นพันธมิตร ในขณะที่ข่าวในสื่ออีกฉบับหนึ่งระบุว่าตำรวจยังอยู่ในขั้นตอนรวบรวมข้อมูล หมายถึงยังไม่สามารถสรุปอะไรได้ แสดงภาพรวมว่ามีสื่อถูกใช้ในการบิดเบือนข้อมูลที่ออกสู่สังคม

จากการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง เนื่องจากมีความเป็นไปได้สูง ว่ามีการใช้วิธี Camouflage พรางตา จึงไม่สามารถสรุปความเป็นพันธมิตรหรือความเป็น นปช.ด้วยการมองลักษณะภายนอก การด่วนสรุปว่าคนลงมือทำร้ายผู้บาดเจ็บเป็นฝ่ายใดจึงไม่สามารถเชื่อถือได้
การกล่าวโดยไม่มีความเป็นจริงสนับสนุนอันเป็นผลทำให้ผู้รับข้อมูลเกิดความรู้สึกเป็นปฏิปักษ์กับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง เป็นการทำให้สังคมแตกแยก ซึ่งสื่อมวลชนที่ดีเมื่อรู้ตัวเมื่อใด จะต้องหลีกเลี่ยงที่จะกระทำในทันที
-------------------------------------------------------------------------------------------
เอกสารประกอบชุดที่ 10
Comment:

ในกรณีมีการใช้ Camouflage เพื่อสร้างข้อหายัดเยียดให้ผู้ชุมนุม และในกรณีสังคมค้นพบว่าภายใต้รัฐบาลนี้ ตำรวจได้ถูกกำหนดให้ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กับฝ่ายกุ๊ยอันธพาลในความพยายามสลายผู้ชุมนุมและควบคุมประชาชนทั้งที่กรุงเทพและอุดรธานี ตำรวจภายใต้รัฐบาลนี้น่าจะหมดเกียรติยศศักดิ์ศรี เพราะสิ่งที่ทำคือหน้าที่ขี้ข้ามาเฟียล้วนๆ

หากตำรวจไม่สามารถรับประกันการทำงานที่ได้มาตรฐานวิชาชีพและจริยธรรม เราก็คงคาดเดาคำพูดจากภาพได้ดังนี้

“ที่เห็นข้างหน้านี้คือหลักฐานครับท่าน”
“อืมม์ ดูคุ้นๆ ... อันไหนไม่ใช่ของเรา?”

วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2551

ประโยคประวัติศาสตร์ศาลอาญาที่ต่างชาติพากันอ้างอิง

ผู้นำต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ข้อยกเว้น

9 สิงหาคม 2551



ในการบรรยายสำหรับบุคลากรที่เป็นกำลังของชาติ ผู้เขียนมักสอดแทรกแนวคิดสำคัญเพื่อให้นำไปยึดถือปฏิบัติกันอยู่เสมอ

... ผู้นำต้องทำตัวเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ข้อยกเว้น …

ซึ่งสอดคล้องกับที่ผู้พิพากษาศาลอาญาได้อบรมจำเลยในคดีภรรยานายกรัฐมนตรีโกงภาษีซึ่งเป็นข่าวแพร่กระจายไปทั่วโลก โดยประโยคดังกล่าวได้กลายเป็น ประโยคประวัติศาสตร์ที่ต่างชาติพากันอ้างอิง ... ขอยกตัวอย่างจากเว็บไซต์ของหลายๆประเทศทั่วโลก มาบันทึกไว้ ณ ที่นี้

http://www.brisbanetimes.com.au/news/world/last-days-of-pearls-and-poses/2008/07/31/1217097432932.html1217097432932.html


"The defendants are high-profile and wealthy citizens," the judge said. Pojaman's husband "was the leader of the country and she is obliged to pay taxes as a model for society".
"But the defendants lied, cheated and conspired to evade taxes, which is regarded as a serious crime,"
the judge said.

http://www.bt.com.bn/en/asia_news/2008/08/01/thaksins_wife_gets_3_year_jail_time_over_tax_evasion

"The second defendant was not only supposed to behave herself as a good citizen, she was also meant to be a good role model as the wife of the prime minister," the judge said in the televised ruling.

http://www2.dw-world.de/southasia/SoutheastAsia/1.234322.1.html

In a landmark decision in Thailand, a criminal court has sentenced the wife of the former Prime Minister, Thaksin Shianwatra, to three years jail for tax evasion. The decision marks a major step in the Thai judiciary’s role in dealing with the country’s political crisis and corruption charges against Thaksin’s former government ...

The judge said the three were of high economic and social status and should be setting an example to society.

http://www.pressandjournal.co.uk/Article.aspx/766675?UserKey=0
“The three defendants have high economic and social status,” said judge Pramote Pipatpramote, adding they should have aspired to set an example for society.
“But, they were working together to avoid taxes, even though the taxes amounted to little compared to their assets.”


http://www.siiaonline.org/?q=programmes/insights/thailand-thaksin%E2%80%99s-wife-sentenced-jail


The court reprimanded Pojaman in particular, saying that with her high economic, social and political status - especially her status as wife of the then premier - she should have acted as a good example to society.

http://www.telegraph.co.uk/sport/football/leagues/premierleague/mancity/2481586/City-owner-Shinawatra-Thaskins-wife-in-guilty-verdict----football.html

"The second defendant [Pojaman] was not only supposed to behave herself as a good citizen, she was also meant to be a good role model as the wife of the prime minister."

http://www.theaustralian.news.com.au/story/0,25197,24106841-2703,00.html

“The defendants are high-profile and wealthy citizens,” the judge said. Ms Pojaman's husband was the leader of the country and she is obligated to pay taxes as a model for society”.

“But the defendants lied, cheated and conspired to evade taxes, which is regarded as a serious crime,” the judge said.

http://www.time.com/time/world/article/0,8599,1828156,00.html

The legal noose tightened around former Thailand Prime Minister Thaksin Shinawatra this week when, on July 31, the nation's Criminal Court found his wife Pojaman Shinawatra guilty of tax evasion, sentencing her to three years in prison in a decision that will likely increase already sharp political tensions in the country

....

In a Bangkok courtroom, Thaksin and his family sat with somber expressions throughout proceedings as the judge reprimanded Pojaman, saying that her high economic, social and political status should have compelled her to set a better example for society.

Prior to the 2006 coup, political cases rarely made their way through Thailand's justice system. But that is changing. Earlier this month, three of Thaksin's lawyers were jailed for attempting to bribe court officials of the Constitutional Court by handing them the equivalent of $59,000 in a pastry bag as a gift.

...

How this week's verdict will play out in rural Thailand, where Thaksin enjoys his greatest support, remains to be seen. Last week, violence broke out in two northeastern provinces when pro-government groups attacked anti-government demonstrators as police looked on. Dozens were injured, prompting civil rights groups, academics and opposition politicians to demand the government protect its opponents' right to peacefully protest.

ข้อพิสูจน์: รัฐบาลเป็นต้นเหตุซึ่งต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับความรุนแรงในชาติ

วิธีใช้สมองง่ายๆ: แจ้งเตือนมายังหัวหน้ารัฐบาลและผู้บัญชาการตำรวจเพื่อเป็นหลักฐาน

31 กรกฎาคม 2551


ย้อนระลึกถึงอดีต ณ เวลาที่ศาลอ่านคำพิพากษายุบพรรคไทยรักไทย กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลทักษิณ (ม็อบเชียร์) ก็เกิดอาการจิตวิญญาณร้าย (ผี) เข้า ออกงิ้วกันอย่างสายฟ้าแลบ สารพัดคำพูดและกริยาท่าทางหยาบคายไม่สามารถรับฟังได้พรั่งพรูออกมาสู่เป้าหมายคือศาลสถิตยุติธรรมอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจใดๆ

มาคราวนี้ ศาลจึงได้กำหนดมาตรการรับมือ ด้วยการเปลี่ยนท่าทีให้มีความเข้มงวด แจ้งล่วงหน้าไว้เลยว่าถ้าทำอย่างเก่าอีก จะมีมาตรการอย่างไร
คราวนี้ ทั้งๆที่คำพิพากษามีผลแก่พวกทักษิณสาหัสกว่าคราวก่อน แต่พออ่านเสร็จ หันไปรอบๆไม่ยักมีเสียงรบกวนใดๆ บรรดาม็อบเชียร์กระมิดกระเมี้ยนเดินทางกลับกันอย่างเรียบร้อย

เปรียบเทียบทั้งสองครั้งมีอะไรที่ต่างกันหรือ ??

สิทธิอำนาจหน้าที่ของศาลก็มีเท่าเดิม ...

สิ่งที่แตกต่างเท่าที่เห็น รู้สึกจะมีแค่ท่าทีของศาล คือการแสดงออกว่าเข้มงวด

นี่คือหลักฐานความมีผลของการใช้อำนาจหน้าที่โดยเข้มงวดกวดขัน

รัฐบาลและตำรวจมีอำนาจหน้าที่เช่นกัน

การปล่อยให้ม็อบฝ่ายรัฐบาลรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่พร้อมกับถืออาวุธเพื่อออกไล่ฆ่า/ทำร้ายผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลโดยใช้ความรุนแรง จึงมีหลักฐานยืนยันแล้ว ว่าไม่ใช่รัฐบาลจะป้องกันเหตุรุนแรงไม่ได้

ทุกวันนี้ม็อบฝ่ายรัฐบาลฮึกเหิมขนาดประกาศฆ่าประชาชน เพราะอะไร ตามหลักข้อเท็จจริงความได้ใจในทางที่ผิดมันเกิดจากการให้ท้าย อันนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงการที่รัฐบาลเป็นผู้จ้างฆ่าเอง ซึ่งหลักฐานก็มีแล้ว

ในเมื่อศาลแสดงความเข้มงวด เหล่าม็อบเชียร์ก็หยุดกึกทันที ...

ดังนั้น ต่อไปนี้ถ้ารัฐบาลและตำรวจไม่ดำเนินการหยุดม็อบกักขฬะฝ่ายรัฐบาล ซึ่งศาลได้พิสูจน์ง่ายๆแล้วว่าทำได้ รัฐบาลและตำรวจจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายและความรุนแรงทุกอย่าง

ในที่ชุมนุมพันธมิตร เต็มไปด้วยเด็ก สตรี คนชรา เก็บภาพจากเว็บไซต์ได้ทุกวัน รวมทั้งอาวุธก็มีไม่ได้ เพราะถ้ารัฐบาลสั่งค้นพบว่ามีอาวุธ จะเป็นเหตุให้ถูกยุติการชุมนุม

ฝ่ายหนึ่งไม่มีกำลังไม่มีอาวุธ อีกฝ่ายมีกำลังมีอาวุธมีความกักขฬะ รัฐบาลและตำรวจจะเสแสร้งอ้างว่าคนสองกลุ่มตีกันทะเลาะกัน จะเป็นการสรุปที่ไม่มีความเชื่อถือได้รองรับ

คนในที่ชุมนุมพันธมิตรเป็นเกรดมีการศึกษา ในขณะม็อบฝ่ายรัฐบาลเป็นเกรดคนชั้นต่ำ ฝ่ายมีการศึกษาย่อมไม่แลกด้วยอยู่แล้ว ยกเว้นป้องกันตัว การอ้างว่าม็อบชนกันเองจึงเป็นการสร้างเรื่อง

จึ
งขอแจ้งเตือนมายังหัวหน้ารัฐบาลและผู้บัญชาการตำรวจเพื่อเป็นหลักฐาน ว่าทราบล่วงหน้าแล้ว ว่าตนเองมีอำนาจหน้าที่และมีศักยภาพที่จะหยุดความรุนแรงทั้งหมดได้ ซึ่งถ้าไม่ทำก็เป็นความจงใจ

ในเมื่อยุติความรุนแรงได้แต่ไม่ยอมยุติ ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า รัฐบาลและตำรวจเป็นต้นเหตุซึ่งต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับความรุนแรงในชาติ

อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนขอเน้นย้ำ คืออย่าพยายามใส่ความผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านรัฐบาล

หลายปีมาแล้ว หลายคนยังคงจำภาพหนึ่งได้ เป็นภาพที่ทุกหนังสือพิมพ์ลงเหมือนกัน แสดงว่าเป็นภาพที่นักข่าวไม่ได้เก็บเอง แต่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน ซึ่งก็ต้องเป็นแหล่งของทางการ ในภาพคนนอนตายเกลื่อน ในมือของทุกคน จับมีดจับดาบไม่มีหลุดจากมือสักคนเดียว มีคำอธิบายว่านี่คือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบถืออาวุธที่ถูกทางการปราบปรามสำเร็จ

ผู้เขียนเห็นภาพนี้ในห้องกาแฟของสถาบันการศึกษาระดับสูงแห่งหนึ่ง นักศึกษาปริญญาเอกกลุ่มใหญ่เดินผ่านมา เห็นภาพเข้าก็พากันหัวเราะและส่ายศีรษะ ใครๆก็ทราบโดยไม่ต้องอธิบาย ... ทางการจัดฉากอย่างไร้สติปัญญา แล้วก็ส่งผ่านสื่อให้ผู้คนดูโดยหวังในความไร้สติปัญญาทั้งชาติโดยทั่วหน้ากัน
31 กรกฎาคม 2551
ตำรวจ คุมเข้ม รปภ. ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาชี้ชะตาหญิงอ้อ บรรณพจณ์ กับพวกเลี่ยงภาษีหุ้นชินวัตรคอมพิวเตอร์ 546 ล้านบาท เก้าโมงเช้าวันนี้ ม็อบเชียร์ทยอยมาแต่เช้า ศาลจัดสถานที่ถ่ายทอดสด ออก “ กฏเหล็ก” ห้ามม็อบป่วน
วันนี้ ( 31 ก.ค.) เมื่อเวลา 07.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เริ่มคึกคักตั้งแต่เช้า กลุ่มประชาชนที่สนับสนุน คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 1,000 คนเริ่มทยอยเข้ามาในบริเวณศาลเพื่อรอให้กำลังใจและรอลุ้นผลคำพิพากษา
ทั้งนี้ นายวิธูร คลองมีคุณ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ออกข้อกำหนดศาลอาญา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเที่ยงธรรม และรวดเร็ว อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 30 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 25 ศาลอาญาจำเป็นต้องออกข้อกำหนดเพื่อใช้บังคับในวันที่ 31 ก.ค. ดังนี้
“ห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติตนในทางที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือก่อความรำคาญ หรือกระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการส่งเสริม ยั่วยุ สนับสนุนการกระทำดังกล่าวในอาคาร และอาณาบริเวณของศาล มิฉะนั้น อาจถูกดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้”

31 กรกฎาคม 2551
ภายหลังจากที่ศาลอาญา รัชดาฯ มีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 คือนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป และจำเลยที่ 2 คือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพิพากษาจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 3 คือนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน จากคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ และนางกาญจนาภา ในความผิดฐานร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 546 ล้านบาท ทันทีที่ประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจคุณหญิงพจมาน และพวก ทราบข่าวดังกล่าว ต่างแสดงสีหน้างุนงงกับคำพิพากษาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่มีการแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจแต่อย่างใด จากนั้นจึงทยอยเดินทางกลับด้วยความเรียบร้อย