31 กรกฎาคม 2551
ย้อนระลึกถึงอดีต ณ เวลาที่ศาลอ่านคำพิพากษายุบพรรคไทยรักไทย กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลทักษิณ (ม็อบเชียร์) ก็เกิดอาการจิตวิญญาณร้าย (ผี) เข้า ออกงิ้วกันอย่างสายฟ้าแลบ สารพัดคำพูดและกริยาท่าทางหยาบคายไม่สามารถรับฟังได้พรั่งพรูออกมาสู่เป้าหมายคือศาลสถิตยุติธรรมอย่างไม่มีความเกรงอกเกรงใจใดๆ
มาคราวนี้ ศาลจึงได้กำหนดมาตรการรับมือ ด้วยการเปลี่ยนท่าทีให้มีความเข้มงวด แจ้งล่วงหน้าไว้เลยว่าถ้าทำอย่างเก่าอีก จะมีมาตรการอย่างไร
คราวนี้ ทั้งๆที่คำพิพากษามีผลแก่พวกทักษิณสาหัสกว่าคราวก่อน แต่พออ่านเสร็จ หันไปรอบๆไม่ยักมีเสียงรบกวนใดๆ บรรดาม็อบเชียร์กระมิดกระเมี้ยนเดินทางกลับกันอย่างเรียบร้อย
เปรียบเทียบทั้งสองครั้งมีอะไรที่ต่างกันหรือ ??
สิทธิอำนาจหน้าที่ของศาลก็มีเท่าเดิม ...
สิ่งที่แตกต่างเท่าที่เห็น รู้สึกจะมีแค่ท่าทีของศาล คือการแสดงออกว่าเข้มงวด
นี่คือหลักฐานความมีผลของการใช้อำนาจหน้าที่โดยเข้มงวดกวดขัน
รัฐบาลและตำรวจมีอำนาจหน้าที่เช่นกัน
การปล่อยให้ม็อบฝ่ายรัฐบาลรวมตัวเป็นกลุ่มใหญ่พร้อมกับถืออาวุธเพื่อออกไล่ฆ่า/ทำร้ายผู้ชุมนุมต่อต้านรัฐบาลโดยใช้ความรุนแรง จึงมีหลักฐานยืนยันแล้ว ว่าไม่ใช่รัฐบาลจะป้องกันเหตุรุนแรงไม่ได้
ทุกวันนี้ม็อบฝ่ายรัฐบาลฮึกเหิมขนาดประกาศฆ่าประชาชน เพราะอะไร ตามหลักข้อเท็จจริงความได้ใจในทางที่ผิดมันเกิดจากการให้ท้าย อันนี้ยังไม่ได้กล่าวถึงการที่รัฐบาลเป็นผู้จ้างฆ่าเอง ซึ่งหลักฐานก็มีแล้ว
ในเมื่อศาลแสดงความเข้มงวด เหล่าม็อบเชียร์ก็หยุดกึกทันที ...
ดังนั้น ต่อไปนี้ถ้ารัฐบาลและตำรวจไม่ดำเนินการหยุดม็อบกักขฬะฝ่ายรัฐบาล ซึ่งศาลได้พิสูจน์ง่ายๆแล้วว่าทำได้ รัฐบาลและตำรวจจะต้องรับผิดชอบต่อความเสียหายและความรุนแรงทุกอย่าง
ในที่ชุมนุมพันธมิตร เต็มไปด้วยเด็ก สตรี คนชรา เก็บภาพจากเว็บไซต์ได้ทุกวัน รวมทั้งอาวุธก็มีไม่ได้ เพราะถ้ารัฐบาลสั่งค้นพบว่ามีอาวุธ จะเป็นเหตุให้ถูกยุติการชุมนุม
ฝ่ายหนึ่งไม่มีกำลังไม่มีอาวุธ อีกฝ่ายมีกำลังมีอาวุธมีความกักขฬะ รัฐบาลและตำรวจจะเสแสร้งอ้างว่าคนสองกลุ่มตีกันทะเลาะกัน จะเป็นการสรุปที่ไม่มีความเชื่อถือได้รองรับ
คนในที่ชุมนุมพันธมิตรเป็นเกรดมีการศึกษา ในขณะม็อบฝ่ายรัฐบาลเป็นเกรดคนชั้นต่ำ ฝ่ายมีการศึกษาย่อมไม่แลกด้วยอยู่แล้ว ยกเว้นป้องกันตัว การอ้างว่าม็อบชนกันเองจึงเป็นการสร้างเรื่อง
จึงขอแจ้งเตือนมายังหัวหน้ารัฐบาลและผู้บัญชาการตำรวจเพื่อเป็นหลักฐาน ว่าทราบล่วงหน้าแล้ว ว่าตนเองมีอำนาจหน้าที่และมีศักยภาพที่จะหยุดความรุนแรงทั้งหมดได้ ซึ่งถ้าไม่ทำก็เป็นความจงใจ
ในเมื่อยุติความรุนแรงได้แต่ไม่ยอมยุติ ก็เป็นข้อพิสูจน์ว่า รัฐบาลและตำรวจเป็นต้นเหตุซึ่งต้องรับผิดชอบแต่เพียงผู้เดียวสำหรับความรุนแรงในชาติ
อีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนขอเน้นย้ำ คืออย่าพยายามใส่ความผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
หลายปีมาแล้ว หลายคนยังคงจำภาพหนึ่งได้ เป็นภาพที่ทุกหนังสือพิมพ์ลงเหมือนกัน แสดงว่าเป็นภาพที่นักข่าวไม่ได้เก็บเอง แต่ได้มาจากแหล่งเดียวกัน ซึ่งก็ต้องเป็นแหล่งของทางการ ในภาพคนนอนตายเกลื่อน ในมือของทุกคน จับมีดจับดาบไม่มีหลุดจากมือสักคนเดียว มีคำอธิบายว่านี่คือกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบถืออาวุธที่ถูกทางการปราบปรามสำเร็จ
ผู้เขียนเห็นภาพนี้ในห้องกาแฟของสถาบันการศึกษาระดับสูงแห่งหนึ่ง นักศึกษาปริญญาเอกกลุ่มใหญ่เดินผ่านมา เห็นภาพเข้าก็พากันหัวเราะและส่ายศีรษะ ใครๆก็ทราบโดยไม่ต้องอธิบาย ... ทางการจัดฉากอย่างไร้สติปัญญา แล้วก็ส่งผ่านสื่อให้ผู้คนดูโดยหวังในความไร้สติปัญญาทั้งชาติโดยทั่วหน้ากัน
31 กรกฎาคม 2551
ตำรวจ คุมเข้ม รปภ. ศาลอาญา อ่านคำพิพากษาชี้ชะตาหญิงอ้อ บรรณพจณ์ กับพวกเลี่ยงภาษีหุ้นชินวัตรคอมพิวเตอร์ 546 ล้านบาท เก้าโมงเช้าวันนี้ ม็อบเชียร์ทยอยมาแต่เช้า ศาลจัดสถานที่ถ่ายทอดสด ออก “ กฏเหล็ก” ห้ามม็อบป่วน
วันนี้ ( 31 ก.ค.) เมื่อเวลา 07.30 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศ ที่ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก เริ่มคึกคักตั้งแต่เช้า กลุ่มประชาชนที่สนับสนุน คุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กว่า 1,000 คนเริ่มทยอยเข้ามาในบริเวณศาลเพื่อรอให้กำลังใจและรอลุ้นผลคำพิพากษา …
ทั้งนี้ นายวิธูร คลองมีคุณ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ได้ออกข้อกำหนดศาลอาญา เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อย และเพื่อให้กระบวนพิจารณาดำเนินไปโดยเที่ยงธรรม และรวดเร็ว อาศัยอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 30 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 25 ศาลอาญาจำเป็นต้องออกข้อกำหนดเพื่อใช้บังคับในวันที่ 31 ก.ค. ดังนี้
“ห้ามมิให้ผู้ใดประพฤติตนในทางที่ก่อให้เกิดความไม่สงบเรียบร้อยหรือก่อความรำคาญ หรือกระทำการใด ๆ ในลักษณะที่เป็นการส่งเสริม ยั่วยุ สนับสนุนการกระทำดังกล่าวในอาคาร และอาณาบริเวณของศาล มิฉะนั้น อาจถูกดำเนินการตามที่กฎหมายบัญญัติไว้”
31 กรกฎาคม 2551
ภายหลังจากที่ศาลอาญา รัชดาฯ มีคำพิพากษาจำคุก 3 ปี จำเลยที่ 1 คือนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหารบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป และจำเลยที่ 2 คือคุณหญิงพจมาน ชินวัตร ภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และพิพากษาจำคุก 2 ปี จำเลยที่ 3 คือนางกาญจนาภา หงษ์เหิน เลขานุการส่วนตัวของคุณหญิงพจมาน จากคดีที่อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องคุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ และนางกาญจนาภา ในความผิดฐานร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้นบริษัท ชินวัตร คอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (มหาชน) จำนวน 546 ล้านบาท ทันทีที่ประชาชนที่เดินทางมาให้กำลังใจคุณหญิงพจมาน และพวก ทราบข่าวดังกล่าว ต่างแสดงสีหน้างุนงงกับคำพิพากษาดังกล่าว แต่ทั้งนี้ ไม่มีการแสดงปฏิกิริยาไม่พอใจแต่อย่างใด จากนั้นจึงทยอยเดินทางกลับด้วยความเรียบร้อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น